"เศรษฐา" เน้นสามัคคี หลัง"ธนาธร" บอก "ทักษิณ-เพื่อไทย" เป็นมิตร ลั่นย้ำไม่เคยแทรกแซงโยกย้าย"ผู้กำกับ" ปัดมีส.ส.ขอตำแหน่ง หลัง"ก้าวไกล" ขู่เอาผิด ม.185  กมธ.ตำรวจ จ่อเชิญนายกฯ แจง ปมหลุดพูดส.ส.ขอตำแหน่งผกก.  ด้านปชป.  ระบุนายกฯส่อทำผิดรธน. ปมแทรกแซงย้ายขรก.  ขณะที่ ปปช. เตรียมเปิดตู้เชฟ "บิ๊กตู่-ลุงป้อม" ใครอู้ฟู้กว่ากัน 

     ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 21 พ.ย.66  นายเศรษฐา ทวีสิน  นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง  ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายธนาธร  จึงรุ่งเรืองกิจ  ประธานคณะก้าวหน้า  ระบุนายธนาธรกับพรรคเพื่อไทยและนายทักษิณ  ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี  เป็นมิตรกัน ว่า ผมเน้นคำว่าเป็นมิตร  ผมเน้นเรื่องความสมัครสมานสามัคคี  ผมเน้นเรื่องการสื่อสารที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เป็นการด้อยค่า  ใช้คำพูดใช้คำแนะนำในเชิงสร้างสรรค์  ผมจึงพยายามจำคำว่าเป็นมิตร
    
 นายเศรษฐา ยังได้ชี้แจงถึงกรณีพูดในที่ประชุมส.ส.เพื่อไทยเมื่อวันที่  21พ.ย.ที่ผ่านมา เรื่องการวิ่งเต้นโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้กำกับ (ผกก.) ว่า โอ้ย ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอกครับ ผมยืนยันว่าทางผมไม่มีอำนาจ และไม่เคยแทรกแซง ไม่เคยก้าวก่ายในการแต่งตั้ง ข้าราชการ และ ข้าราชการตำรวจเลย เป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะพิจารณาตามผลงาน
     
นายเศรษฐา  กล่าวอีกว่า อย่างที่ทราบส.ส. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน มีการมาพูดคุยกันเรื่องการแก้ปัญหายาเสพติดที่เรื้อรังมา  แล้วอาจจะมีความไม่สบายใจกับเจ้าหน้าที่ จึงได้มีการพูดคุยกัน ตนยืนยันว่าส.ส.ไม่ได้มาขอ เราพูดเรื่องความ  ไม่ได้พูดเรื่องคน ความคือมีปัญหาในพื้นที่  เราเองก็มาพูดกันถึงปัญหาในพื้นที่มากกว่า เอาเรื่องความเป็นหลัก 
      
 ผมยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้ไปก้าวก่ายหรือไปสั่งการกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการแต่งตั้งผู้กำกับ และความจริงแล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจของผมด้วย
    
 ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ เคยพูดเรื่องนโยบายว่าไม่อยากให้มีการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง รวมทั้งการใช้เส้นสาย ต้องกำชับส.ส.ในพื้นที่อย่างไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ส.ส.ทราบหน้าที่ของตนเองดีอยู่แล้ว ไม่ได้มีประเด็นตรงนี้ เมื่อถามว่า ที่นายกฯ บอกว่ามีการขอมาเยอะ เนื่องจากมีทั้งคนผิดหวังและคนที่สมหวังหมายความว่าอย่างไร  นายกฯ  กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ใช่การขอมา คนสมหวัง คนผิดหวัง  หมายความว่ามีคนบอกว่าเจ้าหน้าที่อาจจะทำงานไม่ดีตรงนี้  ซึ่งตนเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าสมมุติถ้าเขาทำงานไม่ดี ตนก็ไม่สามารถไปสั่งย้ายได้อยู่ดี ก็ทำได้เพียงไปบอกว่าในพื้นที่ ในส่วนนี้  ในเขตนี้ มีปัญหาเรื่องยาเสพติดเยอะช่วยดูแลด้วย และถ้าเกิดว่ามีการกำกับดูแลไปแล้ว แล้วยังยืนยันว่าบุคคลที่อยู่ในพื้นที่เป็นบุคคลที่เหมาะสมอยู่ก็ต้องทำงานต่อไป  ซึ่งขอย้ำว่าเราพูดเรื่องความไม่ใช่พูดเรื่องคน และยืนยันมาตลอด
    
 ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นทางพรรคก้าวไกล ตีความว่าอาจจะผิดกฎหมายมาตรา 185 นายกฯ จะชี้แจงอย่างไร นายเศรษฐา ตอบว่า โอ้ว ยืนยันครับว่าผมไม่ได้ไปก้าวก่ายไม่เคยไปสั่งการ และทางสส.ก็ไม่เคยมาขอ
     
ที่รัฐสภา นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ กล่าวในที่ประชุมส.ส.เพื่อไทย เรื่องการขอแต่งตั้งตำรวจระดับผู้กำกับการ ว่า กมธ.มีมติจะเชิญนายกฯ มาชี้แจงในวันที่ 7 ธ.ค.นี้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185  (3) กำหนดชัดเจนว่าส.ส.และส.ว.หากมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องกับเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และสิ่งที่นายกฯระบุไว้ว่ามีการขอตำแหน่งผู้กำกับการมาเยอะ ซึ่งมีทั้งคนผิดหวังละคนสมหวัง ซึ่งในประเด็นดังกล่าวหากเป็นข้อเท็จจริงตามที่นายกฯ พูด ก็ต้องระบุว่าส.ส.คนไหนมีส่วนเกี่ยวข้อง หากขัดต่อรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่การทำให้หลุดพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.ทั้งนี้ส่วนตัวมีความมั่นใจว่าส.ส.ทั้ง 500 คน ในสภาฯยึดหลักรัฐธรรมนูญ ไม่มีการแทรกแซงแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ขณะเดียวกันไม่สามารถที่จะวิจารณ์ได้ว่าประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่อง ตั๋วตำรวจหรือไม่ จึงต้องเชิญนายกฯมาชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และมีเจตนาอะไร มีการวิ่งเต้น แต่งตั้งโยกย้ายหรือไม่จะเป็นการกล่าวหาต่อองค์กร จึงไม่ขอก้าวล่วง เมื่อถามว่า  เรื่องนี้เป็นธรรมเนียมปกติหรือไม่ นายชัยชนะ กล่าวว่า ไม่เป็นปกติ เพราะห้ามส.ส.แทรกแซง การแต่งตั้งโยกย้าย เราไม่ใช่ผู้บริหารประเทศเราเป็นฝ่ายนิติบัญญัติห้ามแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายอยู่แล้ว
     
"สิ่งที่นายกฯ พูดหากเป็นจริง เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเดือดร้อนทั้งพรรค เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 185 เป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านที่จะตรวจสอบฝ่ายบริหารอยู่แล้ว หากมีหลักฐานชัดเจนเชื่อว่าจะนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี" นายชัยชนะ กล่าว
    
 นายราเมศ  รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายกฯ ได้พูดถึงการแต่งตั้งตำรวจ ในตำแหน่งผู้กำกับ ว่า เรื่องนี้สังคมทราบจากปากของนายเศรษฐาเองว่ามีการฝากขอตำแหน่งกันได้ แต่ที่สำคัญของเรื่องนี้คือ นายกฯ กำลังทำผิดรัฐธรรมนูญ ที่มีเจตนารมณ์ป้องกันไม่ให้ส.ส.ก้าวก่ายแทรงแซงในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ตามมาตรา 185 รัฐธรรมนูญ กรณีนี้นายกฯ เป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายกฯ ต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้กระจ่างชัด ซึ่งการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจต้องยอมรับว่ามีปัญหามาโดยตลอด สังคมหวังว่าจะดีขึ้น ทั้งๆที่ เมื่อวันที่ 8 ก.ย.66 นายเศรษฐาเคยกล่าวถึงเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ จะต้องมีความเป็นธรรม เรื่องการซื้อขายตำแหน่งต้องไม่มี นายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีที่เกิดเรื่องที่นครปฐมที่มีการยิงนายตำรวจเสียชีวิต แต่วันนี้เราเห็นนายกฯ ประกาศอย่างภาคภูมิใจในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจที่ยอมรับถึงการฝากฝังแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง คำพูดนายกฯ เชื่อถือไม่ได้อีกต่อไปเพราะหลายแฉก ประชาชนสิ้นหวัง ตำรวจน้ำดีหมดกำลังใจในการทำงาน อย่าไปหวังเรื่องการพัฒนาปฏิรูปตำรวจให้ดีขึ้น เพราะแม้แต่เรื่องคุณธรรมในการแต่งตั้งจากผู้นำประเทศเป็นถึงนายกฯ ยังไม่มีเลยแล้วจะไปหวังอะไร
   
  "เรื่องนี้น่าจะเป็นประเด็นสำคัญในทางการเมือง และเชื่อว่าปปช. จะเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้  และจะเห็นว่านายกฯ มีปัญหาในเรื่องการสื่อสาร วันหนึ่งพูดอย่าง อีกวันพูดอย่าง การสื่อสารด้วยความรวดเร็วเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องเร็วบนพื้นฐานข้อมูลที่ยุติมั่นคงแล้ว โดยเฉพาะหลักคิดของนายกฯ เพราะนายเศรษฐาเป็นผู้นำประเทศไม่ใช่ลูกจ้างครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ไม่เช่นนั้นความเสียหายจะเกิดขึ้นตามมาได้" นายราเมศ กล่าว
   
  ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า วันศุกร์ที่ 24 พ.ย.นี้ ป.ป.ช.จะเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจำนวน 18 ราย กรณีรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรี เข้ารับตำแหน่ง พ้นจากตำแหน่งและส.ส. กรณีเข้ารับตำแหน่ง รวมถึงผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามกฎหมายป.ป.ช. ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.66 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกฯ ,นายดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตรองนายกฯ และอดีตรมว.ต่างประเทศ  ,พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล อดีตรมช.กลาโหม ,นายจุติ ไกรฤกษ์ อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ,นายประภัตร โพธสุธน อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ ,คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช อดีต.รมช.ศึกษาธิการ ,นายนริศ ขำนุรักษ์ อดีต รมช.มหาดไทย กรณีกรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.66 
    
 สำหรับนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง ,นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม ,พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ ,นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.วัฒนธรรม กรณีเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.66 นายเกรียงศักดิ์ ฝ้ายสีงาม สส.ร เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 ก.ค.66 ,นายภาคภูมิ บูลย์ประมุข ส.ส. เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 ก.ค.66 นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล อดีตส.ส. พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 23 ก.ค.66  นายหรั่ง ธุระพล ส.ส. เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 4 ก.ค.66 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ อดีตรองประธานกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ก.ย.66 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีตประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ก.ย.66
   
  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการเปิดรายการบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สินของพล.อ.ประยุทธ์ครั้งเดียวตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ก.ย. 57 แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งนายกฯ เมื่อปี57 มีทรัพย์สินรวมคู่สมรสทั้งสิ้น 128,664,535 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 654,745 บาท เป็นของ พล.อ.ประยุทธ์ 102,317,152 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 6 บัญชี 58,967,022 บาท เงินลงทุน 9 แห่ง 23,072,380 บาท ที่ดิน 2 แปลง 2,284,750 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2 ล้านบาท ยานพาหนะ 4 คัน 11.8 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่นฯ 4 รายการ 4,193,000 บาท
    
 ส่วน นางนราพร จันทร์โอชา คู่สมรส มีทรัพย์สิน 26,347,382 บาท (เงินฝาก 6 บัญชี 7,977,382 บาท, ที่ดิน 3 แปลง (1 แปลงร่วมกรรมสิทธิ์กับผู้อื่น) 5,350,000 บาท, โรงเรือนฯ 2 ล้านบาท, ยานพาหนะ 1 คัน 3.5 ล้านบาท, ทรัพย์สินอื่นฯ 1 รายการ 7,520,000 บาท)
    
 พล.อ.ประยุทธ์แจ้งต่อ ป.ป.ช.เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งนายกฯ (สมัยแรก ปี57) ว่า พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา (บิดา) อายุ 89 ปี มอบเงินจำนวน 540 ล้านบาท จากการขายที่ดิน (จากยอดการขาย 600 ล้านบาท) ให้กับพล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากเป็นบุตรชาย มีสิทธิอย่างสมบูรณ์ในการดูแลเงินจำนวนนี้ ให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องของผู้รับ
     
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แบ่งเงินก้อนนี้ (600 ล้าน) ให้กับบุตรสาว 2 ราย และมอบให้ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชาย อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม รวมถึงพี่น้องรายอื่น ๆ คือ นายประคัลภ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ต.ประกายเพชร จันทร์โอชา
    
 สำหรับบริษัทรับซื้อที่ดินของบิดาพล.อ.ประยุทธ์ วงเงิน 600 ล้านบาท คือบริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเครือของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี