วันที่ 16 พ.ย.2566 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุค "เทพไท เสนพงศ์-คุยการเมือง" แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ในพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า
" ห่วงใยประชาธิปัตย์เสมอ
ผมได้ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ ตั้งแต่ยังถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ ซึ่งคาราคาซังมาเป็นเวลานานพอสมควร
ในฐานะที่เป็นสมาชิกเก่าของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งยังมีความผูกพันทางด้านจิตใจอยู่เสมอ เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมือง ที่ให้กำเนิดชีวิตทางการเมืองของผม ในตัวของผมยังมีเลือดสีฟ้าอยู่เต็มตัว และไม่มีวันที่ผมจะคิดร้ายทำลายพรรคนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อแม่ ที่ให้กำเนิดชีวิตทางการเมืองขึ้นมา
ด้วยความห่วงใย อยากให้พรรคประชาธิปัตย์ ที่อายุยาวนานถึง78 ปี เก่าแก่ที่สุดในเอเชีย ได้ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และประชาชนมามากมายนานัปการ ยุติความขัดแย้งภายในพรรค ผมอยากจะให้ทุกฝ่ายลดทิฐิ หันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกันด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ สมาชิกคนใดที่ไม่สามารถยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรคได้ ก็ควรจะเดินออกไปด้วยความรู้สึกที่ดี
การพูดคุยเพื่อจากกันด้วยดี จะทำให้พรรคไม่บอบช้ำไปมากกว่านี้ การโหวตขับตัวเองออกไป เพื่อไปหาพรรคการเมืองใหม่ ที่มีแนวทางการเมืองตรงกันเข้าสังกัดต่อไป ไม่ควรใช้เสียงข้างมากยึดอำนาจการบริหารพรรค จนล่มสลายคามือตัวเอง
แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะเหลือ ส.ส. จำนวนไม่ถึง 10 คนก็ตาม แต่พรรคประชาธิปัตย์ ก็สามารถกลับมายิ่งใหญ่ได้ ถ้าหากพรรคยังธำรงไว้ซึ่งอุดมการณ์ 10 ข้อ ที่ประกาศไว้ตั้งแต่วันก่อตั้งพรรค 6 เมษายน 2489
ปัญหาของพรรคที่ประสบอยู่ในขณะนี้ เป็นความขัดแย้งของขั้วการเมืองภายในพรรค ระหว่างกลุ่มผู้อาวุโสที่ยังไม่ได้วางมือทางการเมือง ยังคงดำรงเป็นสมาชิกอาวุโสของพรรคต่อไป และอยากจะฟื้นฟูกอบกู้พรรคให้กลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม กับอีกกลุ่มหนึ่ง ที่หัวหน้ากลุ่มได้ประกาศวางมือทางการเมืองตลอดชีวิตไปแล้ว แต่ยังต้องการมีอำนาจภายในพรรค ผ่านลูกน้องและบริวาร
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากความอคติ ไม่ยอมแพ้กัน ระหว่าง 2 กลุ่ม ซึ่งจะนำมา นำมาซึ่งความตกต่ำและอาจจะล่มสลายไปในที่สุด ซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งในพรรคต้องการอย่างนั้นจริง ถ้าพรรคจะพังก็ขอให้พัง ด้วยมือของกลุ่มตัวเอง ด้วยความสะใจ
ผมขอวิงวอนให้ผู้ที่ไม่หวังดีต่อพรรค เสียสละเดินออกไปจากพรรค ทิ้งพรรคไว้ให้กับคนข้างหลัง แม้ว่าพรรคจะเหลือเพียงซากปรักหักพังก็ไม่เป็นไร ก็ขอให้พรรคประชาธิปัตย์ยังคงดำรงอยู่ทางการเมืองของประเทศต่อไป
ในอนาคตไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นพรรคเล็กหรือพรรคใหญ่ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ขอเพียงให้มีชื่อคำว่า "ประชาธิปัตย์" ประดับไว้ ในทำเนียบพรรคการเมืองของประเทศต่อไป
ฉันรักเธอนะประชาธิปัตย์"