บลจ.เอ็มเอฟซี แนะนำทยอยซื้อกองทุน "SFF-RMF" อย่ารอลุ้นเซฟภาษีวินาทีสุดท้าย คัด "10 กองทุน" เอาใจนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนในหุ้นไทยและต่างชาติ จัดพอร์ตกระจายการลงทุน หุ้นไทยและต่างประเทศ และสินทรัพย์ต่างๆ เติบโตไปกับเมกะเทรนด์, รวมถึงตราสารหนี้สหรัฐฯ คุณภาพดี สร้างโอกาสเติบโตระยะยาว
นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า ก่อนเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีกับการลงทุน SSF และ RMF เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่ง MFC แนะนำให้นักลงทุนทยอยสะสมกองทุน SSF-RMF โดยไม่ต้องรอให้ถึงปลายปีหรือวันสุดท้ายของปี เนื่องจากราคาหุ้นในหลายตลาดอยู่ในระดับที่น่าสนใจลงทุน มองเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนให้เติบโตในระยะยะยาว โดย MFC ได้คัด 10 กองทุน ที่มีทั้งการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ ให้นักลงทุนได้นำมาจัดพอร์ตลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ในช่วงภาวะตลาดที่ยังมีความผันผวนหรือเลือกทยอยลงทุนสม่ำเสมอทุกเดือน หรือการทำ Dollar-Cost Averaging (DCA)
สำหรับกองทุน SSF-RMF ลงทุนหุ้นต่างประเทศ จากมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ สะท้อนจากการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ต.ค.ที่เพิ่มขึ้นต่ำกว่าตลาดคาด ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.9% ซึ่ง MFC มองเห็นโทน Dovish ที่เพิ่มขึ้นในการประชุม FOMC เดือน พ.ย. ส่งผลให้มีความเป็นไปได้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed น่าจะสิ้นสุดลงแล้ว ทำให้มองช่วงที่เหลือของปีนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสฟื้นตัวจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (Bond Yield)ที่ปรับตัวลง จึงแนะนำสะสมหุ้นเติบโตคุณภาพดี (Quality Growth Stock) ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน ทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดและรับความผันผวนจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีโอกาสชะลอตัวในปีหน้าจึงแนะนำกองทุน MGFSSF และ MGFRMF ลงทุนหุ้นเติบโตคุณภาพดีทั่วโลกที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง มีกำไร และรายได้เติบโตสม่ำเสมอ
นายธนโชติ กล่าวอีกว่า ในส่วนของเศรษฐกิจยุโรปแม้จะยังซบเซา แต่เริ่มเห็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่น่าจะฟื้นตัวได้ดีในระยะข้างหน้า หลังจากเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดและมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องลงสู่ระดับ 2.9% ในเดือน ต.ค. ซึ่งอยู่ใกล้ระดับเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรปที่ระดับ 2% จึงมองการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรปใกล้สิ้นสุด โดย MFC มองหุ้นกลุ่มยุโรป ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัว รวมทั้งบริษัทชั้นนำในกลุ่มประทศยุโรปมีรายได้กระจายทั่วโลกซึ่งมีความแข็งแกร่ง ประกอบกับราคาหุ้นไม่แพง จึงแนะนำกองทุน MEURO-SSF ลงทุนแบบยืดหยุ่นในหุ้นยุโรปทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ขณะเดียวกันมีการควบคุมและกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยทีมบริหารกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญ
สำหรับธีมการลงทุนตามเมกะเทรนด์ (Megatrend) โลก MFC ยังคงแนะนำธีมเฮลธ์แคร์ (Healthcare) ด้วยจุดเด่น เป็นอุตสาหกรรมที่กำไรมีความคงทน เติบโต และสามารถสร้างผลกำไรได้สม่ำเสมอ เนื่องจากการส่งผ่านต้นทุนและเงินเฟ้อไปยังผู้บริโภค ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้กำไรของบริษัทในกลุ่ม Healthcare มีความทนทานในช่วงท้ายของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (Late Cycle) หรือในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย จัดเป็นกลุ่มหุ้นที่มีความทนทานในทุกสภาพตลาด (Defensive Growth) จึงแนะนำกองทุน MHEALTH SSF และ MHEALTHRMF ลงทุนในหุ้น Healthcare ที่ผันผวนต่ำ ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจถดถอยและเงินเฟ้อ
โดยธีมพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เป็นอีกหนึ่งธีมที่เป็นเทรนด์เติบโตในอนาคต ด้วยมุมมองที่รัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกใช้นโยบายสนับสนุนและผลักดันการลดโลกร้อน (Net Zero Emissions) ทำให้เกิดการใช้จ่ายของภาครัฐเงินลงทุนต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานสะอาด ประเมินว่าจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบนราว 19.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นำไปสู่การคาดการณ์กำไรของหุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด (ดัชนี S&P Global Clean Energy) ในปี 2566 และปี 2567 จะเติบโตถึง 54.41% และ 31.36% ตามลำดับ จึงแนะนำกองทุน MRENEW-SSF และ MRENEWRMF ลงทุนในหุ้นพลังงานทดแทนคุณภาพดี อนาคตไกล
นอกเหนือจากการลงทุนหุ้นต่างประเทศแล้ว MFC แนะนำลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ คุณภาพสูงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูงน่าสนใจลงทุนและปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว ส่งผลให้ Yield มีโอกาสปรับลงได้ในระยะยาว และมีโอกาสได้รับ Capital Gain แนะนำกองทุน MUBOND-SSF และ MUBONDUH-SSF เน้นลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ คุณภาพสูง อันดับเครดิตเฉลี่ยของพอร์ต AA โอกาสผิดนัดชำระหนี้ต่ำ ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย
สำหรับกองทุน SSF-RMF ที่ลงทุนหุ้นไทย คัด 3 ธีมแนะนำกองทุน M-MIDSMALL-SSF ซึ่งลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีโอกาสฟื้นตัวรวดเร็วหลังวิกฤต และสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย, กองทุน M-S50 RMF ลงทุนในหุ้นไทยพื้นฐานดี สร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี SET50 และควบคุมความผันผวนของพอร์ตการลงทุนไม่ให้สูงจนเกินไปและกองทุน HI-DIV RMF ลงทุนในหุ้นไทยคุณภาพดีที่มีแนวโน้มจ่ายปันผลสม่ำเสมอ
"MFC มองตลาดหุ้นไทยที่ระดับต่ำกว่า 1,400 จุดเป็นบริเวณที่น่าสนใจในการลงทุนระยาว เนื่องจาก Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพง โดยปัจจุบันค่า Forward P/E ของดัชนี SET Index อยู่ที่ระดับกว่า 14 เท่า ทางด้านฟันด์โฟลว์ต่างชาติเริ่มชะลอการไหลออกจากตลาดหุ้นไทย เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความแข็งแกร่งและอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวใน ปีหน้า จึงมองเป็นจังหวะในการทยอยลงทุนหุ้นไทย" นายธนโชติ กล่าว