นายกฯตอกย้ำเงินดิจิทัลวอลเล็ต มีความจำเป็น ยามประเทศวิกฤต เชื่อทุกคนหวังดีกับประเทศ ขอให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน "ชัยธวัช"หวั่นรัฐบาลดัน"ดิจิทัลวอลเล็ต"ไม่สำเร็จ แนะเตรียมแผนสำรอง ถ้า"พรบ.กู้เงิน" ไม่ผ่านสภา ด้านคำนูณ'ค้านกู้เงินแจกคนละ 1 หมื่น แนะตัดงบฯปี 67 โครงการอื่นมาใช้

     เมื่อวันที่ 13 พ.ย.66) เวลา 17.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น ซานฟรานซิสโกช้ากว่าไทย 15 ชั่วโมง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงกรณี น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล  รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาตอบโต้กรณีนายกฯ ให้เหตุผลต้องมีการกู้เงินเพื่อทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเนื่องจากประเทศกำลังมีวิกฤต ว่า ตนเองไม่ได้เถียงกับใคร ทุกคนมีความประสงค์ดีกับประเทศชาติทั้งนั้น อย่างที่ตนแถลงว่าวิกฤตหรือไม่วิกฤต จำเป็นหรือไม่จำเป็น ตนเองมองว่าเป็นเรื่องจำเป็น มองว่าเป็นเรื่องวิกฤตก็แค่นั้น ซึ่งประชาชนก็จะเป็นคนตัดสิน
        
  ผู้สื่อข่าวถามว่า คณะกรรมการกฤษฎีกามีการรายงานความเห็นเพิ่มเติมมาหรือไม่ เนื่องจากมีข่าวว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะเตือนเรื่องนี้เป็นพิเศษ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุย ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่มีคำว่าอาจจะเตือน แต่จะมีแค่คำว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ขอให้รอแล้วกัน แต่รัฐบาลยืนยันว่าเรื่องนี้จำเป็นและเร่งด่วน
         
 เมื่อถามว่า ได้มีการปรึกษาเรื่องนี้กับนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ  ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่มี ตนต้องระมัดระวังในการที่จะคุยตรงนี้ เพราะไม่อยากให้เป็นการล็อบบี้หรือไปพูดคุย การที่ตนได้พูดคุยกับสาธารณชนในเรื่องนี้ก็ได้อธิบายไปแล้วว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน จีดีพีไทยเติบโตเท่าไหร่เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างชัดเจนและเราพูดคุยข้อมูลกันอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว
    
 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ ได้หยิบยกการชี้แจงของ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ ต่อกระแสสังคมที่มีข้อห่วงกังวลในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอาจจะขัดต่อข้อกฎหมาย โดย นพ.พรหมินทร์ ชี้แจงว่าได้มีการพิจารณาข้อจำกัดของกฎหมายและความเห็นต่างๆ ของนักวิชาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน จำเป็นต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเมื่อเทียบกับประเทศข้างเคียง ประเทศไทยยังมีปัญหา ล้าหลัง ภาวะหนี้สิ้นของประชาชนเพิ่มขึ้นในระยะ 10 ปี ที่ผ่านมา จากร้อยละ 70 เป็นร้อยละ 90 ของ GDP จึงจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยหลังจากออกเป็นนโยบาย ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้พูดคุยหารือและรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานต่างๆ อย่างรอบด้าน ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เนื่องจากสามารถขอฉันทามติผ่านกระบวนการในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นวิธีการที่สามารถทำได้และเคยทำมาก่อนในหลายรัฐบาล
   
  กรณีกระแสสังคมว่ารายละเอียดหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการไม่ตรงปกเหมือนตอนหาเสียงไว้ นพ.พรหมินทร์ ชี้แจงว่า รัฐบาลมีการปรับแก้ไขตามเสียงคัดค้านให้เหมาะสม ซึ่งโจทย์ของดิจิทัลวอลเล็ตคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นในบรรดาของกลุ่มประชาชนที่แบ่งตามรายได้ต่างๆ รายได้กลุ่มที่น้อยที่สุด 20% ที่น้อยที่สุด หรือกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำที่สุด เวลาที่รัฐบาลให้เงินไป กลุ่มดังกล่าวเกิดการใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจถึง 5 เท่า ขณะที่กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ 3 อยู่ที่ประมาณ 3.5-4.5 เท่า ส่วนกลุ่มสุดท้ายที่มีเงินเดือนมากกว่า 7 หมื่นบาท เมื่อรัฐบาลให้เงินไปแล้ว จะเกิดการใช้ประมาณ 1.2 เท่า
    
 ดังนั้น จากข้อพิจารณาและข้อเสนอต่างๆ ทำให้ได้ตัดคนส่วนนี้ออกไป เพราะว่าเป็นส่วนที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้น้อย อย่างไรก็ตาม ไม่ได้ละทิ้ง โดยมีการหาวิธีที่คล้ายๆ กัน จึงมีการใช้ e-Refund ซึ่งกลุ่มนี้สามารถนำเงินของตนเองไปใช้จ่ายแล้วนำเงินมาคืนของหลวง จึงขอยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ละทิ้งกลุ่มใด แต่ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการและมาตรการให้เหมาะสมเพื่อตอบโจทย์แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจ
   
  สำหรับกรณีที่มีข้อสังเกตถึงการกู้เงินของรัฐบาลนั้น เป็นการหาทางลง เนื่องจากเสี่ยงต่อกฎหมายต่างๆ หรือไม่ เลขาฯ ได้ชี้แจงว่า ข้อสังเกตดังกล่าวการหาทางลงเป็นวิธีคิดของคนที่เป็น Loser ของคนที่ปรารถนาความพ่ายแพ้ แต่คนที่อยากจะเอาชนะใช้ Winner attitude ซึ่งจะคล้ายกับการหา solution ร่วม หรือ ทุกปัญหามีทางออก ซึ่งรัฐบาลพยายามหาทางออกที่ดีที่สุดและต้องการทำให้โครงการนี้สำเร็จ เพราะเชื่อมั่นว่า ประชาชนกำลังรอโครงการนี้อยู่กว่า 60-70% รวมทั้งจะส่งผลให้เกิด micro investment โดยเงินจำนวนนี้จะนำไปใช้ในการลงทุน สอดคล้องกับข้อมูลการสำรวจวิจัยของมหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งพบว่ากว่าร้อยละ 40.23 ระบุว่า จะนำเงินไปรวมกับครอบครัวเพื่อไปใช้จ่ายในการลงทุนเพิ่มขึ้น เช่น เกษตรกรอาจนำเงินไปรวมในครอบครัวเพื่อใช้ทำมาหากินในภายภาคหน้า หรือหากมีจำนวน 2-3 คนในครอบครัว อาจเปิดร้านขายของในเมืองได้ จึงขอเน้นย้ำว่า รัฐบาลจะนำเงินเพื่อไปกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยไม่ใช่การใช้จ่ายอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการลงทุนในระยะยาวเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมากขึ้นด้วย
      
 โครงการดิจิทัลวอลเล็ตตอบโจทย์แก้ปัญหาเศรษฐกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว เชื่อมั่นว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจมหภาคฟื้นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รัฐบาลเชื่อมั่นว่า ทุกภาคส่วนมีความหวังดีกับประเทศ และขอชี้แจงว่า รัฐบาลได้ดำเนินโครงการนี้ผ่านการพิจารณา วิเคราะห์ ทุกปัจจัย ตัวแปร และศึกษาข้อมูลทางสถิติ และเชื่อมั่นว่า มีประชาชนจำนวนมากรอคอยเงินจากโครงการนี้เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น
   
  นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ว่า ตนคิดว่าประเด็นหลักตอนนี้ เรามีความกังวลว่าการดำเนินนโยบายเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตอาจจะไม่สำเร็จ เพราะวิธีการที่จะเสนอการออกพ.ร.บ. กู้เงิน  5 แสนล้านบาท ซึ่งทางพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ได้ให้ความเห็นไปแล้วว่าถ้ารัฐบาลเลือกทางนี้ อาจมีข้อกังวลว่า รัฐบาลอาจสะดุดขาตัวเอง และทำให้ไม่สามารถดำเนินนโยบายนี้ได้ 
    
 เมื่อถามว่า หากพ.ร.บ.นี้ ผ่านเข้ามาถึงสภาฯ จะมีการวางตัวคนอภิปรายในเรื่องนี้หรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ยังไม่ได้ไปถึงขั้นนั้น เพราะตอนนี้เข้าใจว่าอันดับแรกก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะเสนอได้ ต้องฟังความคิดเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน เราคงต้องดูขั้นนั้นก่อน ยอมรับว่าเป็นความกังวลของพรรคก้าวไกลเหมือนกันว่า ร่าง พ.ร.บ.นี้ จะถูกล้มโดยขั้นตอนของกฤษฎีกาเลยด้วยซ้ำ หากรัฐบาลจะผลักดันนโยบายนี้ต่อ ต้องคิดแผนสำรองไว้
    
 เมื่อถามถึงกรณีที่มีคนในพรรคเพื่อไทยได้มีการตอบโต้ความเห็นของน.ส.ศิริกัญญาว่าพรรคก้าวไกลเคยสนับสนุนนั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า ต้องเรียนว่าถ้าฟังเนื้อหาสาระของพรรคก้าวไกลอย่างวางอคติ ความเห็นทั้งหมดไม่ได้เป็นการขัดขวางนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เพียงแต่เราวิพากษ์วิจารณ์มีความเห็นท้วงติงว่าด้วยความเป็นห่วงว่า จะไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จ ไม่สามารถตอบโจทย์เป้าหมายในทางนโยบายได้จริง เมื่อถามว่า หาก พ.ร.บ.นี้ ผ่านขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกา พรรคก้าวไกลพร้อมสนับสนุนหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวว่า ขอให้ถึงตอนนั้นก่อน
 
ด้าน นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)และกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา กล่าวถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ภายหลังรัฐบาลแถลงความชัดเจน ว่า อย่างน้อยก็มีความชัดเจนว่าจะใช้วิธีการออกพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)กู้เงิน 500,000ล้านบาท แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนในรายละเอียด เท่าที่ติดตามส.ว.ไม่ได้มีประเด็นที่จะขัดแย้งทางด้านหลักการ แต่มีความเป็นห่วงหากรัฐบาลออกพ.ร.บ.กู้เงิน จะชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา140 และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง มาตรา53 ที่กำหนดเงื่อนไขไว้อย่างชัดเจนว่าการจะออกว่าการจะออกพ.ร.บ.กู้เงิน จะทำได้เฉพาะกรณีที่มีความจำเป็น เร่งด่วน ต้องใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ โดยไม่สามารถตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน
    
 ในขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 67 ที่จะยื่นต่อสภาฯ ในเดือนธ.ค.นี้ จึงเห็นในเบื้องต้นว่าการบรรจุเงินที่ใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ สามารถบรรจุไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 67ได้ เพราะจะปลอดภัยกว่า และยังอยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้ทัน แต่หากออกเป็นพ.ร.บ.กู้เงิน จะเป็นการเสี่ยง แต่ถ้าหากต้องใช้เงินในกรณีจำเป็นเร่งด่วนก็สามารถออกเป็นพ.ร.ก.ได้เช่นเดียวกับในสมัยรัฐบาลที่แล้วช่วงโควิด -19 
   
  อีกทั้งการออกพ.ร.บ.ใช้เวลานาน เพราะต้องใช้ 2 สภา และไม่ใช่การใช้เงินอย่างต่อเนื่อง ได้เงินครั้งเดียวแต่โครงการนี้เป็นการใช้งานครั้งเดียว ที่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการแจกจ่ายให้กับประชาชนตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป 50 ล้านคน คนละ 10,000 บาท ฉะนั้นการใช้เงินต่อเนื่องจึงไม่เข้าเงื่อนไข
   
  ส่วนจะเป็นการนำเงินมาแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศหรือไม่ ตนไม่ขอก้าวล่วง ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ชี้แจง แหล่งที่มาของเงินกับกกต. 4 ประการ ว่าเป็นเงินในงบประมาณ แต่ในการแถลงรายละเอียดโครงการล่าสุดเป็นหารใช้เงินนอกงบประมาณ แต่หากออกพ.ร.บ.กู้เงินแล้วเป็นไปตามกฎหมายตนก็ไม่มีปัญหา แต่ตนก็ยังเป็นห่วงว่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่ดีที่นายกฯระบุว่าจะไปขอความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกา
    
 ดังนั้นหน้าที่ตอนนี้คือต้องรอว่าคณะรัฐมนตรีจะถามคณะกฤษฎีกาว่าอย่างไร และคณะกรรมการกฤษฎีกาจะตอบกลับมาว่าอย่างไร และคณะรัฐมนตรีจะมีมติอย่างไรที่จะเสนอร่างพ.ร.บ.ต่อที่ประชุมรัฐสภาหรือไม่ หรือจะต้องนำร่างพ.ร.บ.มาดูกันต่อไปว่าถูกต้องตรงตามกฎหมายหรือไม่
   
  นายคำนูณ กล่าวว่า การที่จะใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินจะต้องเป็นไปตามมาตรา 140 ของรัฐธรรมนูญ ใน 5 ลักษณะคือ กฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี , กฎหมายวิธีการงบประมาณ กฎหมายโอนงบประมาณ , กฎหมายเงินคงคลัง และกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งในกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐมาตรา 53 ได้กำหนดเงื่อนไขว่าไม่ใช่ทำได้ทุกกรณี ดังนั้นการออกพ.ร.บ.กู้เงิน หากถูกต้องตรงตามเงื่อนไขวินัยการเงินการคลังของรัฐ ก็แปลว่าทำถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา140 แต่หากทำไม่ถูกต้องในกฎหมายวินัยการเกิดการคลังของรัฐมาตรา 53 ก็จะขัดรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว
     
  "ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ โดยรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 140 แตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ โดยมีการเพิ่มการจ่ายเงินแผ่นดิน ออกไปตามช่องทางกฎหมายวินัยการเงินการคลัง ของรัฐเข้ามาอีกฉบับหนึ่ง และกฎหมายฉบับนี้พึ่งมีเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2561 ถามว่าออกกฎหมายกู้เงินได้ไหม ตอบว่า ออกได้ แต่เฉพาะ 4 เงื่อนไข เร่งด่วน ต่อเนื่อง แก้วิกฤตประเทศ และอยู่ในช่วง ไม่สามารถจัดตั้งงบประมาณได้ทัน ซึ่งเห็นว่า การที่ไม่สามารถตั้งงบประมาณได้คือส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะการจะทำร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 67 ยังไม่เข้าสู่วาระการประชุมรัฐสภา 
    
 ดังนั้นรัฐบาลสามารถปรับปรุงแก้ไข ตัดทอนรายจ่ายอื่น มาใช้ในโครงการนี้ได้ และสามารถอยู่ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 67 ได้ เพราะในเจตนารมณ์กฎหมายการเงินการคลัง ต้องการให้การใช้จ่ายทุกประการของแผ่นดิน อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้มากที่สุด ไม่ต้องการให้รัฐบาลใดๆก็ตาม ออกกฎหมายกู้เงิน มาใช้เป็นเงินนอกงบประมาณโดยปราศจากเงื่อนไข" 
    
 นายคำนูณ กล่าวต่อว่า ขณะนี้องค์กรที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ตรวจเงินแผ่นดินและป.ป.ช. ก็ตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบและมองว่า หากรัฐบาลยังจะใช้พ.ร.บ.กู้เงิน เรื่องนี้น่าจะต้องเป็นภาพยนตร์เรื่องยาว ที่จะต้องดูกันต่อไปและมีรายละเอียดทุกขั้นตอน ซึ่งคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ ยังมองในทัศนคติเชิงบวกว่าเรื่องนี้ ทุกฝ่ายมีความหวังดีต่อประเทศชาติอยากทำให้เศรษฐกิจของชาติเจริญเติบโต แต่ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ก