โดยส่วนใหญ่หลาย ๆ คนมักคิดว่า “โรคมะเร็งปอด” ควรจะต้องเป็นในคนอายุมากหรือคนที่สูบบุหรี่เท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว “โรคมะเร็งปอด” สามารถเกิดขึ้นได้ในคนอายุน้อยเช่นเดียวกัน และจากกรณีของหมอ หมอกฤตไท เจ้าของ “เพจสู้ดิวะ” วัยเพียง 28 ปี เผยเรื่องราว ที่พบว่าตนเองป่วยเป็น “มะเร็งปอด” ระยะที่ 4 ทำให้คนในสังคมเกิดคำถามขึ้นมาว่า “คนอายุน้อย...ทำไมเป็นมะเร็งปอดมากขึ้น
ทั้งนี้ ผศ.นพ.ศิระ เลาหทัย (อ้างอิง การศึกษา Journal of cancer ที่สังเกตพบว่ามะเร็งปอดมักพบในช่วงอายุ 70 ปีและมากกว่า 70% มักจะพบในช่วงอายุที่มากกว่า 55 ปี แต่อย่างไรก็ตามมากกว่า 10% ที่พบในกลุ่มที่อายุน้อยกว่า 50% และจำนวน 1.4% พบน้อยกว่าอายุ 35 ปี ทั้งนี้ในกลุ่มคนอายุน้อยจะสังเกตพบว่า จะเจอในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยชนิดที่พบมักจะเป็น Adenocarcinoma)
ผศ.นพ.ศิระ เลาหทัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยศาสตร์ทรวงอกเฉพาะทางด้านการผ่าตัดส่องกล้องในช่องทรวงอก โรงพยาบาลวชิรพยาบาล กล่าวว่า โดยทั่วไปผู้ป่วยที่มีอายุน้อยมักจะพบระยะ 4 เมื่อการตรวจวินิจฉัยครั้งแรก (ระยะ 4 หมายถึง มีการลุกลามเข้าเยื่อหุ้มปอดหรือไปที่บริเวณอวัยวะอื่น ๆ เช่น สมอง กระดูก ต่อมหมวกไต และตับ เป็นต้น)
โดยสาเหตุที่พบเจอ “มะเร็งปอด” ช้า เนื่องจากเวลามีอาการไอหรือเหนื่อย ในคนอายุน้อยทางการแพทย์เราจะนึกถึงโรคมะเร็งค่อนข้างน้อย จึงใช้เวลาในการหาสาเหตุอื่น ๆ มากกว่าอาจทำให้วินิจฉัยได้ล่าช้า อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักของการเป็นมะเร็งปอดนั้น การสูบบุหรี่ยังคงเป็นปัจจัยหลัก แต่ในคนอายุน้อยนั้นมักพบว่าเจอในคนที่ไม่สูบบุหรี่เป็นหลัก โดยสาเหตุมักเกี่ยวข้องกับ ยีนที่ผิดปกติ เช่น EGFR, ALK, ROS1 และ ประวัติครอบครัวที่มีโรคมะเร็งปอดมาเกี่ยวข้อง
สำหรับวิธีการวินิจฉัยจะเหมือนกับการตรวจในมะเร็งปอดทั่วไป คือ การตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT chest) ซึ่งเมื่อพบเจอหรือก้อนที่น่าสงสัย ต้องเอาชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อเป็นการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดจริง ๆ หรือไม่ ส่วนวิธีที่การรักษานั้นจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปอดระยะเริ่มต้น มักแนะนำให้ทำการผ่าตัดเอากลีบปอดออก โดยปัจจุบันสามารถรักษาได้โดยการผ่าตัดส่องกล้อง รักษาได้เทียบเท่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม แต่ลดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดได้ดีกว่า ส่วนระยะลุกลามมักแนะนำให้ยาเคมีบำบัดหรือยาพุ่งเป้าหรือยาภูมิคุ้มกันบำบัด
โดยทั่วไปแล้ว มะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อโรคลุกลามแล้วมักมีอาการแสดง ที่สามารถสังเกตได้ดังนี้ ไอเรื้อรัง ไอมีเสมหะปนเลือด หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หายใจสั้น หายใจมีเสียงหวีด เจ็บหน้าอกตลอดเวลา เสียงแหบ เสียงเปลี่ยน ปอดติดเชื้อบ่อย เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ และแม้ว่ามะเร็งปอด จะไม่ใช่โรคติดต่อ และไม่สามารถส่งผ่านไปยังคนอื่นๆ ได้ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจไม่เกี่ยวเนื่องกับมะเร็งได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ที่มีอาการดังกล่าวข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว โดยหากมีอาการที่เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอด แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยเพื่อเป็นการยืนยันด้วยวิธีต่างๆ เช่น การเอกซเรย์ปอด (X-ray), การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan), การส่องกล้องลอดลมปอด (Bronchoscopy), การตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจ (Biopsy), การตรวจคัดกรองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ (Low-Dose CT chest), การส่องกล้องในช่องกลางทรวงอก (Mediastinoscopy) เป็นต้น
“การพยากรณ์ของโรคนั้น ถ้าเป็นระยะลุกลามตั้งแต่อายุน้อย ๆ มักจะเป็นว่าพยากรณ์โรคจะดีกว่าเท่าผู้กลุ่มสูงอายุที่เจอระยะเดียวกัน เนื่องจากมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่าและสามารถทนต่อการรับยาเคมีบำบัด เพื่อรักษาโรคนี้ดีกว่าคนสูงอายุ สุดท้ายนี้ไม่มีอะไรจะดีเท่าการป้องกันตัวเองหรือตรวจพบเจอระยะเริ่มต้นแนะนำกลุ่มความเสี่ยงเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด” ผศ.นพ.ศิระ กล่าว
อยากสุขภาพปอดดี…ต้องกินให้ไว 7 อาหารกินบ่อยๆ ช่วย “บำรุงปอด” ให้แข็งแรง 1. แอปเปิล มีวิตามินซีและเส้นใยสูง มีเบต้าแคโรทีน หรืออนุมูลอิสระที่มีชื่อว่าเคอร์ซิทีน ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งปอด รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุในแอปเปิลยังจะช่วยดูแลสุขภาพปอดอีกด้วย 2.แครอท มีเบต้าแคโรทีนสูงเช่นกัน และมีปริมาณวิตามินเอสูงมาก ซึ่งช่วยป้องกันอาการหอบหืด และช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของเราให้มีความแข็งแรงมากขึ้นได้ 3.รังนก มีสรรพคุณช่วยบำรุงปอด เสริมพลัง และยังช่วยในการช่วยละลายเสมหะ แก้ไอ อีกทั้งยังบำรุงและระบายความร้อนในร่างกาย
4.ขิง ขิงเป็นสมุนไพรที่ดีต่อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะกับคนที่มักจะมีปัญหาเสมหะบ่อยๆ การดื่มน้ำขิงจะช่วยขับเสมหะได้ 5.กระเทียม สรรพคุณเด่น คือ ต้านการอักเสบ และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่ออัลลิซิน (Allicin) ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเกือบทุกชนิดได้เป็นอย่างดี 6.ชาดำ ชาดำมีคาเฟอีนอยู่จำนวนไม่น้อย ควรเลือกดื่มชาใบสน เพราะมีสรรพคุณช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องปากและลำคอ เคลียร์ลมหายใจของเราให้สะอาด ส่งผลให้การทำงานของปอดดีตามไปด้วย และ 7.บรอกโคลี วิตามินซีสูงและอุดมไปด้วยวิตามินบี 5 ที่มีคุณสมบัติทดแทนการสูญเสียวิตามินซีจากการสูบบุหรี่ และมีหน้าที่ปกป้องดูแลปอดไม่ให้เกิดความเสียหายจากสารพิษในบุหรี่ด้วย