เลขาธิการนายกฯปฏิเสธเลขาฯกฤษฎีกาเบรกกู้เงินมาแจก บอกแค่พูดถึงหน้าที่ทำให้ถูกกฎหมาย ย้ำออกร่างพรบ.กู้เงิน เพราะอยู่ในวิกฤติเศรษฐกิจ ประกาศเดินหน้าต่อ ระบุกฤษฎีกามีหน้าที่แนะจุดอ่อนให้แก้ไข ด้าน"ศิริกัญญา"โต้ "พท."อย่าบิดเบือนขุดอดีต
นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ถึงกรณีมีกระแสข่าวเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการออก ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน เพื่อมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ระหว่างการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้บอกว่าไม่เห็นด้วยแล้วขอให้บันทึกการประชุม แต่พูดตอนท้ายการประชุมว่ามีหน้าที่ดูแลทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมาย และปกป้องทุกคนในที่ประชุม โดยจะนำเรื่องไปหารือในคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นแนวทางที่ทำให้เราต้องหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อน
ส่วนเรื่องการกู้เงินนั้น นายกรัฐมนตรีได้หารือผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และผู้ว่าฯธปท.ให้ข้อคิดว่าเพื่อให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.เงินตรา ต้องมีเงินมาสำรองโครงการ เราเลยแก้ปัญหาด้วยการกู้เงินมาวางไว้ให้เห็น แล้วเราค่อยๆ ใช้ และจากการที่นายกฯหารือกับผู้ว่าฯธปท.ก็ยังมีข้อเสนอเห็นด้วยกับการขอกู้ เพราะสะอาดดี โดยการขอกู้นั้นต้องดูว่ากฎหมายให้ช่องทางอะไรไว้บ้าง ที่สุดแล้วเราคิดว่าวิธีการนี้เหมาะสมที่สุด
นพ.พรหมมินทร์ กล่าวอีกว่า ในการหาเสียงเราระบุจะหารายได้จากการเก็บภาษีในปี 67 แต่การตั้งรัฐบาลล่าช้า กระบวนการต่างๆ จึงล่าช้าตาม ซึ่งการเก็บภาษีจะไปโชว์ตอนปลายปี สิ่งที่เราดำเนินการคือการบริหารด้านการเงิน และมีช่องทางหนึ่งคือการออกกฎหมาย เราประเมินจากทุกตัวว่านี่คือวิกฤติเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะ 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจตกต่ำสุดและฟื้นช้าสุด นี่คือความจำเป็น และกรอบกฎหมายอนุญาตให้เราใช้แบบนี้ โดยทำให้รอบคอบ ปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกา และนำเรื่องเข้าสู่สภา
เมื่อถามว่า มีรายงานข่าวระบุในที่ประชุมเมื่อวันที่ 10 พ.ย. เลขาธิการสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้ว่าฯธปท. ติงการกู้เงินแล้วมากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจก นพ.พรหมมินทร์ กล่าวว่า เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ไม่ได้ให้ความเห็นอะไร มีเพียงผู้ว่าฯธปท.ที่ให้ความเห็นว่าเรื่องการกู้เงิน นายกฯต้องระวัง และระบุให้บันทึกการประชุมว่าท่านได้ให้ความเห็นว่า ป.ป.ช.มีความเห็นมาอย่างไรบ้าง ซึ่งที่ประชุมรับทราบ และเป็นข้อพึงสังวรให้ทำทุกอย่างถูกต้อง ครบถ้วน
เมื่อถามว่า ผู้ว่าฯธปท.ไม่เห็นด้วยกับการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินใช่หรือไม่ นพ.พรหมมินทร์ กล่าวว่า ตนตอบแทนไม่ได้ เพียงแต่บอกว่ามีหน้าที่ดูแลพ.ร.บ.เงินตรา ส่วนด้านการคลัง การบริหาร เป็นหน้าที่ของรัฐบาล คงต้องไปถามผู้ว่าฯธปท. แต่ตนเองยืนยันโครงการของเราไม่ได้เอาเงินไปแจก แต่เอาไปกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อถามว่า ถ้าคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่เห็นด้วย มีข้อติติง มีความเสี่ยงทางกฎหมายมาก รัฐบาลจะหยุดหรือไม่ นพ.พรหมมินทร์ กล่าวว่า เชื่อว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาคงต้องให้ความเห็นว่าควรจะทำอย่างไร เพราะเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย ให้ข้อแนะนำว่าควรจะเดินอย่างไร และรัฐบาลมีหน้าที่ต้องเดิน
เมื่อถามอีกว่า ถ้าคณะกรรมการกฤษฎีกาให้คำแนะนำว่ามีความเสี่ยง อาจจะไม่เข้าเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และกฎหมายต่างๆ รัฐบาลจะทำอย่างไร นพ.พรหมมินทร์ กล่าวว่า ถ้าชี้มาว่ามีข้อห่วงใยตรงไหนก็พยายามจะแก้ตรงนั้น เมื่อถามว่า ตอนหาเสียงกับตอนทำจริงไม่เหมือนกัน ทางการเมืองถือว่าเสียหายหรือไม่ นพ.พรหมมินทร์ กล่าวว่า ไม่เหมือนกันตรงไหนคือเรารับว่าจะทำให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเราทำตามข้อใหญ่นี้ และเราบอกว่าจะบริหารโดยการใช้งบประมาณ แต่ประโยคสุดท้ายได้ระบุว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเงินการคลังของประเทศ หมายความว่าเราปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ตอนคิดโครงการ เราคิดหลักการใหญ่และมาดูของจริงว่าเป็นอย่างไร เราก็ต้องแก้ปัญหา ที่สำคัญเรายืนยันว่าจะต้องทำให้ได้และให้สำเร็จ
เมื่อถามว่า เกรงหรือไม่ว่า ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน จะซ้ำรอย พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ และกลายเป็นจุดกำหนดเกมการเมือง นพ.พรหมมินทร์ กล่าวว่า เราเรียนรู้จากของเก่า ความตั้งใจเรามองอนาคต เห็นโอกาสของประเทศ พอถูกเบรกเราก็เรียนรู้ว่าบทเรียนที่ผ่านมาเป็นอย่างไร จึงปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกาและหน่วยงานต่างๆ ให้รอบคอบ เมื่อถามย้ำว่า เมื่อจะถอดบทเรียน แสดงว่าหากคณะกรรมการกฤษฎีกาติติงมา เราจะหยุดใช่หรือไม่ นพ.พรหมมินทร์ กล่าวว่า เราก็แก้ไขไปตามข้อแนะนำ และข้อแนะนำคงจะต้องบอกว่ามีจุดอ่อนตรงไหนบ้าง
ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ อ้างตัวเองก็เคยเห็นด้วยกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ว่า การเห็นด้วยก็มีหลายระดับ และเวลานี้นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตได้เปลี่ยนรายละเอียดมาไกล จากที่จะใช้เงินในงบประมาณ มาเป็นออก พ.ร.บ.กู้เงิน จากแจกให้ถ้วนหน้า กลายเป็นจำกัดคนมีรายได้สูง ซึ่งตนยอมรับเคยมีการพูดคุยเรื่องนี้กันจริง เนื่องจากเมื่อครั้งเป็นพรรคที่จะร่วมรัฐบาลกัน พรรคร่วมรัฐบาลเคยวางแผนสำหรับงบประมาณปี 2566 แต่เงินที่มีไม่พอที่จะทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หากแบ่งออกไปแล้วจะเหลืองบประมาณเพียงพรรคการเมืองละ 4-5 แสนล้านบาท ในเมื่อไม่สามารถนำงบประมาณไปใช้ได้ทั้งก้อน จึงต้องปรับลดงบประมาณลง ก็เป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมา จึงขอให้อย่าบิดประเด็นไปมากกว่านี้
จนถึงตอนนี้ รัฐบาลยังไม่มีคำตอบใดๆ ออกมาว่าเหตุใดจึงยังเดินหน้าโครงการต่อ ในเมื่อการออกพ.ร.บ.เงินกู้ อาจขัดต่อ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ทำไมทางพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลจึงคิดทำต่อ ทุกวันนี้ยังไม่ได้รับเหตุผลใดๆ กลับมา เพียงมีการขุดอดีตไล่ความชอบธรรมว่าตนเองเคยเห็นด้วย
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ทุกครั้งที่ออกมาแสดงความเห็นเรื่องนี้ ไม่เคยพูดคัดค้านแม้แต่ครั้งเดียว เพียงแต่ถามว่างบประมาณมาจากไหน ยังไม่เริ่มคัดค้านจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง ขอให้รัฐบาลช่วยตอบให้ตรงประเด็นว่าจะไม่ผิดกฎหมายได้อย่างไร เพียงเปิดความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยรายงานการประชุมทั้งในชั้นคณะอนุกรรมการ และคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ออกมา ว่าไม่ผิดกฎหมายอย่างไรก็จบแล้ว ตนเองก็จะเป็นคนหน้าแตกไปแล้ว
ส่วนที่อ้างว่าผู้ว่าฯธปท. เสนอให้ออก พ.ร.บ.เงินกู้ ด้วย น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ยิ่งต้องไปดูรายงานของคณะกรรมการชุดใหญ่ว่ามีมติอย่างไร ถึงให้ออกพ.ร.บ.เงินกู้ เพราะตนเองไม่เชื่อว่าผู้ว่าฯ ธปท. จะเสนอแนวทางนี้ เพราะทุกครั้งก็คัดค้านมาโดยตลอด เมื่อถามถึงกรณี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ยืนยันว่ากระบวนการถูกต้อง เพราะการออก พ.ร.บ.ต้องเข้าสภา น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ต้องตรวจสอบก่อนว่าถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร มีอีกหลายฉบับที่ต้องพิจารณา
"ดังนั้น เราคาดหวังว่าวันที่ประกาศต่อประชาชนว่าจะออก พ.ร.บ.เงินกู้นั้นได้ปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันว่าทำได้ ซึ่งหากไม่ผิดกฎหมายก็จะไม่มีช่องให้นักร้องไปร้องเรียนได้ แต่การพูดลอยๆ แบบนี้สุดท้ายต้องมากลับคำกันอีก ทำให้เสียความเชื่อมั่นต่อประชาชน"
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ส่วนการที่นักร้องเริ่มไปร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดินและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นไปตามเกมของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ตนได้แต่ดักคอ เพราะเราไม่อยากให้มาถึงวันนี้ นักร้องไม่สมควรเข้ามามีส่วนร่วมกับการกำหนดนโยบายของรัฐบาล พอสบช่องให้ร้องแบบนี้ หากศาลรัฐธรรมนูญรับฟ้องจะทำให้ล่าช้าออกไปอีก มองว่าเป็นกับดักที่รัฐบาลคิดเอาไว้แล้วหรือไม่
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ตั้งข้อสงสัยว่าข้าราชการกระทรวงการคลังไม่มีใครท้วงติงรัฐบาลเลยหรือ จะถือว่าทำผิดกฎหมายกันหมด หากนโยบายนี้ผ่านเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา และใช้กลไกเสียงข้างมากให้ผ่านความเห็นชอบไปได้ ถ้าก้าวไกลก็คงต้องยอมรับความจริง แต่ขั้นต่อไปจะทำให้มีปัญหาเรื่องการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี
"นายกรัฐมนตรีพูดว่าจะชดใช้เงินกู้ให้หมดภายใน 4 ปี ปีแรกมาแล้วแสนกว่าล้านบาท ดอกเบี้ยอีกหมื่นล้าน มาแน่นอน ในการพิจารณางบประมาณปี 2568 คิดว่าการใช้คืนหนี้สูงมาก มีทั้งดอกเบี้ยเดิมและดอกเบี้ยใหม่ ภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บได้ 20% ก็ต้องไปใช้หนี้ ทำให้จัดงบประมาณปี 2568 ได้ยากลำบาก รวมถึงรายได้ที่คิดว่าจะมาจากดิจิทัลวอลเล็ตก็จะไม่ทัน ประชาชนเดือดร้อนแน่ๆ"
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ตนเองได้เทียบกรณีดังกล่าวกับ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าผิดกฎหมาย รัฐบาลปัจจุบันจึงไม่สามารถอ้างว่าไม่รู้ เพราะคำวินิจฉัยของศาลปี 2557 ก็เป็นกรณีแบบเดียวกัน ที่ผ่านมายังไม่มีการถกเถียงกันเลยว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างไร นายกรัฐมนตรีก็เพียงยกตัวเลข GDP ย้อนหลัง 10 ปี ขึ้นมาระบุว่าเป็นปัญหาเรื้อรังเชิงโครงสร้าง ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการระยะสั้น
"เรายังรออยู่ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ มีแต่บอกว่ารักประชาชน บริสุทธิ์ใจ มุ่งมั่น หรืออ้างว่าดิฉันเคยเห็นด้วย ทั้งหมดนี้ไม่ได้ช่วยอธิบายใดๆ ว่าการออกร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน ถูกกฎหมายอย่างไร"
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากไม่ผิดกฎหมาย เห็นด้วยหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า หากไม่ผิดกฎหมาย การกู้เงินในระดับนี้มีปัญหาแน่ๆ เพราะหนี้สาธารณะแน่นอนว่ายังไม่ถึงกรอบที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ เคยขยายไว้ที่ 70% ของ GDP แต่ที่ไม่รอดแน่คือภาระดอกเบี้ยต่องบประมาณ แต่เป็นสิ่งที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะสถาบันจัดอันดับเครดิตเรตติ้งที่จะจัดอันดับ เป็นเรื่องที่นายกฯ จะต้องชี้แจง งบประมาณ ปีแรกจะต้องจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยซึ่งเกิน 10% ของงบประมาณแผ่นดินและถ้าสุดท้ายพ.ร.บ. กู้เงินนี้ ผ่านสภาและบังคับใช้ได้จริงและดิจิทัลวอลเล็ต เกิดขึ้นจริง
"ที่รัฐบาลพยายามบอกว่าประเทศกำลังมีวิกฤตนั้นเห็นว่า เป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นในระยะยาว เป็นปัญหาเรื้อรัง ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในการแก้ไขปัญหาด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้เลย นโยบายนี้ถูกคิดขึ้นมาตั้งแต่ มี.ค.- เม.ย. ปีนี้จะถูกนำไปใช้จริงปีหน้า สรุปแล้ววิกฤตเกิดขึ้นตอนไหนกันแน่ แล้วเร่งด่วนถึงขั้นที่เราได้ 1 ปีเร่งด่วนหรือไม่ ดังนั้นการเลือกใช้โดยการออกร่าง พ.ร.บ. ยิ่งต้องใช้เวลาในสภา จึงถามว่าความจำเป็นเร่งด่วนอยู่ตรงไหน และขออย่าปล่อยให้รัฐบาลบิดเบือน"
เมื่อถามว่า นายกฯ ต้องการเอาชนะหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องของการเอาชนะ แต่น่าจะเป็นการรักษาคำพูด ซึ่งน่าจะเป็นจุดอ่อนจุดหนึ่งเหมือนกัน หลังจากที่ไม่ได้รักษาคำพูดมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนร่วมรัฐบาล และตั้งรัฐบาลมา จึงจำเป็นต้องฟื้นความเชื่อมั่นว่าต้องทำตามที่พูดที่ได้หาเสียงไว้ได้ ซึ่งเป็นบททดสอบที่สำคัญก็อาจจะแพ้ไม่ได้เช่นเดียวกัน จึงเป็นปัญหาหนักใจเพราะตอนคิดโครงการ คิดมาไม่ถี่ถ้วน โดยตอนคิดยังบอกว่าใช้เงินจากงบประมาณ ซึ่งเห็นว่าไม่มีทางเป็นไปได้ และพอหลังพิงฝาแล้วไม่มีทางออก จึงคิดเป็นอื่นไม่ได้ว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหาทางลง