ผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์ และ อิสราเอล อาจแพร่กระจาย และส่งผลที่ร้ายแรงมาก

ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย

ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ดำเนินมาเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว และวิกฤติด้านมนุษยธรรมที่ร้ายแรงได้เกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าทั่วโลกจะให้ความสนใจกับความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ แต่ความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ลุกลามยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากโอกาสที่อันตรายอย่างยิ่งของการขยายวงในครั้งนี้ คาดว่าฝ่ายต่างๆ ที่มีส่วนได้ส่วนเสียจำเป็นต้องดำเนินการที่สำคัญเพื่อลดความตึงเครียด

การขยายความขัดแย้งครั้งแรกซึ่งเกิดขึ้นตามจริงแล้วเกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนร่วมของรัฐและกลุ่มติดอาวุธ โดยเมื่อเดือนที่แล้ว มีการยิงตอบโต้กันเป็นครั้งคราวระหว่างอิสราเอลและสหรัฐฯ ในด้านหนึ่ง และกลุ่มผู้มีบทบาทกองกำลังติดอาวุธ เช่น กลุ่มฮิซบอลเลาะห์แห่งเลบานอน และฮูตีแห่งเยเมน และกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ในอิรัก และการมีส่วนร่วมของผู้มีบทบาทในกลุ่มต่างๆชี้ให้เห็นว่ามีการขยายวงความขัดแย้งเกิดขึ้นแล้ว และด้วยสถานการณ์ในฉนวนกาซาที่เลวร้ายลง อาจทำให้ความขัดแย้งขยายวงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนในภูมิภาคมากขึ้น

การขยายวงครั้งที่สองซึ่งเกิดขึ้นแล้วเช่นกันคือความตึงเครียดที่สำคัญระหว่างประเทศอาหรับและอิสราเอล ทั้งนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีความสัมพันธ์อันอบอุ่นระหว่างอิสราเอลและประเทศอาหรับ ซึ่งสะท้อนถึงความปรารถนาของภูมิภาคที่ต้องการความสงบและสันติภาพ นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ประเทศอาหรับใช้แนวทางเชิงรับมากกว่าแนวทางเชิงรุกต่อความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์เมื่อเร็ว ๆ นี้

อย่างไรก็ตาม ผู้คนในประเทศอาหรับยังคงยืนยันอย่างชัดเจนถึงความต้องการที่ถูกต้องตามกฎหมายของชาวปาเลสไตน์ที่มีต่อการตั้งประเทศของตนซึ่งสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อรัฐบาลของประเทศอาหรับ เพราะอิสราเอลยังคงยืนกรานไม่ยอมปฏิบัติตามมติของสหประชาชาติ  แต่ประเด็นปาเลสไตน์ยังคงมีความเกี่ยวข้องทางการเมืองภายในสำหรับประเทศอาหรับ เมื่อความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้น พวกเขาจะเผชิญกับแรงกดดันจากภายในมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จอร์แดนเรียกเอกอัครราชทูตของตนประจำอิสราเอลกลับ และปฏิเสธที่จะอนุญาตให้เอกอัครราชทูตอิสราเอลเดินทางกลับมา บาห์เรนประกาศเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนว่าได้เรียกเอกอัครราชทูตของตนจากอิสราเอลกลับ และระงับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับอิสราเอล การตอบสนองเบื้องต้นเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณจากประเทศอาหรับ หากสถานการณ์ยังคงย่ำแย่ลง ก็ค่อนข้างเป็นไปได้ที่ประเทศอาหรับจำนวนมากขึ้นจะดำเนินการทางการทูตและเศรษฐกิจในลักษณะเดียวกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การคว่ำบาตรอิสราเอลในระดับภูมิภาคและยังมีแนวโน้มที่ประเทศอี่นๆจะทำตาม เพราะไม่อาจยอมรับการกระทำแบบสองมาตรฐานได้

การขยายวงครั้งที่สามอาจเป็นการเติบโตของพวกหัวรุนแรงที่ต่อต้านตะวันตก จากการขาดความยุติธรรมเกี่ยวกับประเด็นปาเลสไตน์เป็นการแสดงให้เห็นถึงความอัปยศอดสูที่กำหนดโดยโลกตะวันตกในโลกอิสลาม พฤติกรรมที่บ่อนทำลายสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในฉนวนกาซาและส่วนอื่นๆ ของปาเลสไตน์อย่างต่อเนื่อง อาจกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านตะวันตกอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ในตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั่วโลกด้วย ข้อความที่ชัดเจนที่สุดประการหนึ่งที่แสดงโดย Osama Bin Laden ผู้ก่อตั้งอัลกออิดะห์ในปี 1998 คือพวกเขาต่อต้านความอัปยศอดสูของชาวปาเลสไตน์อันเป็นผลมาจากการยึดครอง

หากภัยพิบัติด้านมนุษยธรรมยังคงดำเนินต่อไป ผู้ที่เห็นอกเห็นใจชาวปาเลสไตน์คงจะมีอารมณ์อ่อนไหวมากขึ้น อนาคตน่าจะได้เห็นประเทศในยุโรปและสหรัฐฯเผชิญกับองค์ประกอบที่รุนแรงมากขึ้น เนื่องจากมีสัดส่วนมุสลิมและความเห็นอกเห็นใจของชาวปาเลสไตน์ในสัดส่วนสูง

ประการที่สี่อาจเป็นการแสวงประโยชน์จากการรณรงค์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในหมู่ผู้มีบทบาทสำคัญระดับโลก ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าประเด็นปาเลสไตน์เป็นประเด็นที่ความยุติธรรมขาดหายไปอันเป็นผลมาจากการเมืองที่ยึดถืออำนาจเป็นใหญ่ ความพยายามใดๆ ที่จะสร้างความเท็จขึ้นใหม่ไม่สามารถซ่อนความเป็นจริงได้ หากปราศจากความยุติธรรม สันติภาพก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้

น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าฝ่ายบริหารของ Biden และผู้มีอำนาจตัดสินใจในอเมริกาไม่มีความตั้งใจที่จะคิดซ้ำสองเกี่ยวกับนโยบายที่ไม่สมเหตุสมผลของพวกเขา ที่แย่ไปกว่านั้นคือฝ่ายบริหารของ Biden ใช้ประเด็นร้อนนี้เพื่อความทะเยอทะยานทางภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลกของตนเอง ในเดือนตุลาคม เขาได้ยื่นคำขอเพิ่มเติมงบประมาณ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสภาคองเกรส โดยเงิน 61,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่าครึ่งจะส่งไปยังยูเครน ด้วยการยัดไส้แพ็กเกจดังกล่าว ไบเดนมองเห็นโอกาสสูงที่สภาคองเกรสจะผ่านคำขอดังกล่าว เนื่องจากสภาพร้อมเสมอที่จะผ่านมติเพื่อช่วยเหลืออิสราเอล ทั้งนี้ชการเชื่อมโยงความขัดแย้งปาเลสไตน์-อิสราเอล เข้ากับการเมืองในอีกภูมิภาคจะทำให้ปัญหานี้ลุกลามจนกลายเป็นการรณรงค์ระดับโลกเพื่อผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ และผลประโยชน์ทางธุรกิจของอุตสาหกรรมผลิตอาวุธโดยที่ภาระตกหนักไปอยู่ที่ประชาชนผู้เสียภาษี ด้วยสหรัฐฯมีหนี้สาธารณะเกินรายได้ประชาชาติแล้ว

พูดได้คำเดียวก็คือ ดูเหมือนว่าโดยทั่วไปแล้วสหรัฐฯ และตะวันตกต่างก็ทำเป็นตาบอดและไม่แยแสต่อวิกฤตด้านมนุษยธรรมในปาเลสไตน์ การจงใจเพิกเฉยต่อความรุนแรงของการขยายวงจะบ่อนทำลายความมั่นคงทั่วโลกอย่างร้ายแรงในหลายๆ ด้าน ขณะเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์เลวร้ายที่สุด ความพยายามระดับโลกเพื่อสันติภาพประเทศต่างๆควรรวมตัวกันเพื่อต่อต้านนโยบายที่ไม่สมเหตุสมผล โดยผู้ที่สนับสนุนสันติภาพจะต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะกดดันสหรัฐฯ โดยเรียกร้องให้สหรัฐฯ หยุดอิสราเอล

มิฉะนั้นการเรียกร้องความเป็นธรรมจะไปอยู่ในมือพวกหัวรุนแรง ถึงเวลานั้นจะเกิดจราจลไปทั่วโลก