“สมศักดิ์” ชง ครม.แก้กฎหมายฉบับแรก หวังติดดาบเพิ่มอำนาจ ป.ป.ท. “ออกหมายจับ-จับกุม-ชี้มูล” ช่วยแก้ปัญหาประพฤติมิชอบ ยกระดับให้สอดคล้อง UNCAC พร้อมยกเคส ราชการตบทรัพย์ สอบวินัยได้ทันที ย้ำ แก้กฎหมายล้าสมัย ถือเป็นประโยชน์กับประชาชน เตือน กฎหมายดี ต้องไม่ถูกนำมาใช้กลั่นแกล้งกัน
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ ได้มีการเสนอปรับปรุงกฎหมาย ในส่วนของพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2551 จากเดิมที่มี 67 มาตรา ซึ่งจะมีการปรับแก้ 29 มาตรา บัญญัติใหม่ 14 มาตรา ยกเลิก 1 มาตรา รวมทั้งสิ้นจะมีเพิ่มขึ้นเป็น 80 มาตรา โดยกฎหมายนี้ มีการใช้มาแล้วถึง 16 ปี ซึ่งควรจะมีการปรับให้เข้ากับสมัย โดยกฎหมายฉบับนี้ ขณะร่างแก้ไขนั้นได้ออกแบบ รวมถึงให้กฤษฎีกา ตรวจสอบแล้ว ซึ่งจะมีการปรับให้มีอำนาจในการตรวจสอบมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. จะสามารถดำเนินการตรวจสอบได้ ก็ต่อเมื่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ส่งมอบให้เท่านั้น ดังนั้น ป.ป.ท.เอง ก็ถือเป็นหน่วยงานในการตรวจสอบของฝ่ายบริหาร จึงควรมีการปรับแก้ ให้การทำงานไม่เกิดความทับซ้อน แต่จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ในเรื่องการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับ โดยจะสามารถไต่สวนชี้มูลได้ด้วยตนเอง ซึ่งตนมองว่า การทำในลักษณะนี้ จะเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตได้
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า กฎหมาย ป.ป.ท.ปัจจุบัน ไม่มีบทบัญญัติ ในเรื่องของหลักเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร แต่ร่างกฎหมายฉบับใหม่ จะมีให้เปิดเผยได้ถึง 3 ขั้นตอน คือ 1.ก่อนการไต่สวน 2.เมื่อได้ดำเนินการไต่สวนแล้ว และ 3.คณะกรรมการ ป.ป.ท.ชี้มูล พร้อมกันนี้ ยังมีอำนาจในเรื่องการออกหมายจับ โดยสามารถขอศาลออกหมายจับได้เอง รวมถึงดำเนินการจับ ปล่อยตัวชั่วคราว หรือ จะมอบพนักงานสอบสวนทำแทน ซึ่งหากยกตัวอย่าง เช่น เราเป็นผู้ประกอบการ จะขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน แต่เมื่อผ่านไป 1 เดือน ก็ยังไม่มีการอนุมัติ ป.ป.ท.ก็สามารถเข้าไปดูถึงเหตุผลได้ เพื่อป้องกันการเรียกรับเงิน โดยก็จะทำให้ภาคธุรกิจมีความโปร่งใสมากขึ้น
“ด้านการศึกษา ป.ป.ท. ก็สามารถเข้าไปตรวจสอบพฤติกรรมที่มีข่าวอยู่ในเวลานี้จำนวนมากได้ เช่น พฤติกรรมครูลวนลามอนาจารนักเรียน ซึ่งสามารถเข้าไปตรวจสอบในเรื่องวินัย และเอาผิดในเรื่องเพศอนาจารได้ เพราะเป็นความผิดทางอาญา รวมถึงยังสามารถตรวจสอบเจ้าหน้าที่ราชการ เลิกงานไวกว่าเวลาได้ และกรณีการนำรถหลวงไปใช้ส่วนตัวในเวลานอกราชการ ซึ่งเรื่องแบบนี้ ป.ป.ท.สามารถที่จะเอาผิดได้ โดยสืบสวนสอบสวนได้ทันที จึงถือเป็นเรื่องการสร้างความโปร่งใสป้องกันการประพฤติมิชอบของส่วนราชการ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานของภาครัฐ และเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ โดยกฎหมายฉบับนี้ จะสอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต หรือ UNCAC ด้วย” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การปรับปรุงแก้กฎหมายที่ล้าสมัย ถือเป็นเรื่องที่ดี เพื่อให้กฎหมายนั้นใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม รวมถึงกฎหมายที่ดี ต้องไม่ถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งกันด้วย ดังนั้น การเสนอกฎหมายนี้ ไม่ได้เป็นการเพิ่มอำนาจ หรือ แย่งอำนาจไป แต่เป็นการทำงานในภาครัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุดในเรื่องของการป้องกันการทุจริต รวมถึงการประพฤติมิชอบ ซึ่งในการแก้กฎหมาย ได้มีการรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนมาแล้วถึง 2 ครั้ง ก่อนที่ตนจะเสนอกฎหมายนี้เข้าครม.และมีมติอนุมัติหลักการแล้ว จากนี้ ก็จะส่งเข้าสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป