เมื่อวันที่ 3 พ.ย.66 ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงผลการเยือน 3 ประเทศ ประกอบด้วย ประเทศกาตาร์ ประเทศอียิปต์ และประเทศอิหร่าน และพบบุคคลสำตัญ เพื่อขอให้ช่วยเจรจากับกลุ่มฮามาส เพื่อปล่อยตัวประกันไทย ว่า ทั้ง 3 ประเทศ แสดงท่าทีช่วยเหลือไทยอย่างเต็มที่ จากการหารือสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้ตน คือ รัฐมนตรีถามว่าแรงงานไทยที่ไปอยู่อิสราเอลไปทำอะไร เขาคงคิดว่าไปทำธุรกิจหรือตั้งบริษัท ตนจึงชี้แจงให้ทราบว่าแรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร มีรายได้น้อย แล้วไปทำมาหากินที่อิสราเอล เพื่อหารายได้ส่งกลับมาหาครอบครัวที่ประเทศไทย ดังนั้น จึงไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองหรือความขัดแย้งใดๆทั้งสิ้น ซึ่งทางรัฐมนตรีประเทศต่างๆก็ตกใจ ตนจึงขอให้รัฐมนตรีสื่อไปที่กลุ่มฮามาสได้หรือไม่ เพราะไม่แน่ใจว่าฮามาสจะทราบหรือไม่ว่ากลุ่มที่จับไปเป็นเกษตรกร
“สิ่งที่ทำให้แปลกใจอีกอย่าง คือ การจับตัวประกันไม่ได้มีกลุ่มฮามาสเพียงกลุ่มเดียว ดังนั้นการเจรจาจึงไม่สามารถเจรจากับกลุ่มฮามาสเพียงกลุ่มเดียว เพื่อให้ปล่อยตัวประกันได้ อย่างไรก็ตาม ไทยขอร้องให้ 3 ประเทศช่วยผลักดันเจรจาเพื่อให้ปล่อยตัวคนไทยโดยเร็วที่สุด เขาบอกว่าขณะนี้อยู่ในช่วงสู้รบ อยากให้ไทยสนับสนุนให้หยุดยิงโดยเร็ว ซึ่งจะทำให้มีโอกาสปล่อยตัวมากขึ้น ตอนนี้ประเทศกาตาร์เขาเชื่อว่าคนไทยจะได้รับการปล่อยตัวเป็นกลุ่มแรก ตนฟังแล้วสบายใจ ส่วนรัฐมนตรีประเทศอิหร่านจะช่วยเจรจาให้ปล่อยตัวโดยเร็ว ส่วนรัฐมนตรีอียิปต์เขารับปากจะรีบดำเนินการช่วยหาปล่อยตัวประกัน หากมีการปล่อยตัวประกันของไทย ขอให้กรุณาแจ้งให้ไปอัครราชทูตไทยประจำประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบทันที เพื่อเตรียมตัวไปรับตัวประกัน ส่วนประเทศอียิปต์มีชายแดนติดกับกาซาและช่วยเหลือมนุษยธรรม และเชื่อว่าอาจปล่อยตัวที่ชายแดนราฟาห์ ซึ่งเราได้ขอให้เจ้าหน้าที่ของเราไปรับที่จุดนั้น ซึ่งเขาก็อนุญาต”
เมื่อถามถึงแผนการเดินทางไปเจรจาเพิ่มเติมกับประเทศต่างๆ และจำนวนแรงงานไทยที่ถูกจับกุมเพิ่มเติมนั้น นายปานปรีย์ กล่าวว่าข้อมูลจากสถานทูตไทยฯ มี 23 ราย ส่วนที่อ้างว่ามีเพิ่มขึ้น ฝ่ายอิสราเอลยังยืนยัน 23 รายเป็นจำนวนที่ถูกต้อง ไม่ได้มีการจับตัวเพิ่มเติม ส่วนแผนจะเดินทางไปคุยกับประเทศใดเพิ่มเติมหรือไม่นั้น ถ้ามีประเทศใดช่วยเหลือเราได้ก็พร้อมจะไป.