คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์   เศรษฐช่วย

ในอดีตคนทั่วโลกต่างยอมรับว่าระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกาแสนยอดเยี่ยมเป็นแม่แบบให้กับประเทศอื่นๆ แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมาหมุนกลับตาลปัตร โดยมีการจัดอันดับของประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยปรากฏว่าสหรัฐฯตกไปอยู่อันดับที่ 30 จาก 167 ประเทศเมื่อปี 2022 (จาก The Economist Democracy Index ของปี 2022)

การเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2020 นับเป็นจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ปฏิเสธไม่ยอมรับการพ่ายแพ้หวังจะอยู่ในทำเนียบขาวต่ออีกหนึ่งสมัย จนมีผลทำให้สหรัฐฯเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงตลอดมา!!!

และเป็นน่าสังเกตว่า ขณะนั้นสมาชิกผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกันถึง 138 คนออกมาประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่ “โจ ไบเดน” ชนะการเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี มีเพียงสมาชิกของพรรครีพับลิกันเพียง 39 คนเท่านั้นที่ประกาศยอมรับโดยหนึ่งในสมาชิกของพรรครีพับลิกันที่ออกมาประกาศรับรองโจ ไบเดน ในการแข่งขันครั้งนั้นก็คือ “สมาชิกผู้แทนราษฎรทอม เอ็มเมอร์” วัย 62 ปี  โดยเขาคร่ำหวอดอยู่ในสภาผู้แทนฯมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2015 และยังเป็นผู้นำเบอร์ 3 ของพรรคที่ลงแข่งขันในตำแหน่งประธานสภาฯร่วมกับผู้สมัครอีก 9 คนเมื่อวันพุธของสัปดาห์ที่แล้ว และเขาก็คือผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดในการแข่งขันภายในพรรครีพับลิกันในรอบที่ 5 และได้กลายเป็นตัวเก็งในตำแหน่งประธานสภาฯคนใหม่อีกด้วย

เริ่มแรกอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมาประกาศว่าจะวางตัวเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่หลังจากที่ ส.ส.ทอม เอ็มเมอร์ที่มากด้วยประสบการณ์ทั้งด้านคุณวุฒิและวัยวุฒิได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของพรรค กลับปรากฏว่าอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกิดอาการหวั่นกลัวอดรนทนมิไหวต้องออกมาต่อต้านเลยทำให้ ส.ส.ทอม เอ็มเมอร์ ไม่อยากมีเรื่องถอดใจยอมยกธงขาวสี่ชั่วโมงหลังจากที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน!

และผู้ที่ได้รับคะแนนอันดับรองลงมาก็คือ “ส.ส.ไมค์ จอห์นสัน” จึงออกมาประกาศลงแข่งขันแทน และปรากฏว่ากลุ่มส.ส.ฝ่ายอนุรักษ์นิยมขวาตกขอบทั้ง 25 คนที่เคยวางตัวต่อต้านผู้ที่ได้รับเลือกทั้งสามคนต่างเห็นชอบเทคะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์ และในการประชุมร่วมระหว่างพรรครีพับลิกันกับพรรคเดโมแครต ปรากฏว่าสมาชิกของพรรครีพับลิกันทุกคนต่างเทคะแนนเสียงให้กับส.ส.ไมค์ จอห์นสัน ด้วยคะแนนเสียง 220 ต่อ 209 เหนือ “ส.ส.ฮาคีม เจฟฟรีส์” ผู้นำเสียงข้างน้อยของพรรคเดโมแครตตั้งแต่รอบแรกด้วยซ้ำไป

ท้ายที่สุดฝ่ายขวาตกขอบของพรรครีพับลิกันก็ได้ไมค์ จอห์นสัน วัย 51 ปี เข้าไปรับตำแหน่งประธานสภาฯสมดั่งใจตามที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์และพวกเขาต้องการ อันที่จริงที่ผ่านมา ส.ส.ไมค์ จอห์นสัน จากรัฐลุยเซียนา เป็นนักการเมืองโนเนมที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของชาวอเมริกันเท่าใดนัก เพราะเขาเพิ่งเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ในสภาผู้แทนฯ แต่เนื่องจากเขามีหน้าที่ทำงานเปรียบเสมือนเป็นมันสมองและเป็นขุนพลคนสำคัญให้แก่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เขาผู้นี้ใช้หัวคิดออกอุบายเสนอให้ล้มการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปีค.ศ. 2020

ขณะที่ส.ส.ไมค์ จอห์นสัน กล่าวปราศรัยต่อชัยชนะที่เขาได้รับเลือกในตำแหน่งประธานสภาฯคนใหม่ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2023 หากดูผิวเผินจะเห็นว่า เขาเป็นนักการเมืองที่รูปลักษณ์สุภาพเรียบร้อย หน้าตาดี พูดจาคล่องแคล่ว ไม่มีลักษณะก้าวร้าว โดยขณะที่ส.ส.ไมค์ จอห์นสัน กำลังกล่าวปราศรัยอยู่นั้น ผมพยายามเงี่ยหูตั้งอกตั้งใจฟังว่า เขาจะกล่าวเสนอนโยบายทั้งภายในและนโยบายต่างประเทศอย่างไร?

ในด้านนโยบายต่างประเทศส.ส. ไมค์ จอห์นสันหรือประธานสภาฯคนล่าสุดของสหรัฐฯได้เพียงแต่เอ่ยปากว่า จะช่วยเหลืออิสราเอลเพียงอย่างเดียว แต่มิได้ปริปากจะช่วยเหลือด้านการทำสงครามของยูเครนแต่อย่างใด ซึ่งทำให้ผมรู้สึกเอะใจสงสัยอยู่ตะหงิดๆ แต่ก็ต้องร้อง “อ๋อ” ไม่แปลกเพราะเขาคือหนึ่งในสมาชิกพรรครีพับลิกัน 117 คนที่ประกาศต่อต้านด้านการให้ความช่วยเหลือต่อยูเครนที่มียอดเงิน 300 ล้านดอลลาร์ตามข้อเสนอของประธานาธิบดีโจ ไบเดน นั่นเอง

อีกทั้งนักการเมืองในค่ายพรรคเดโมแครตหลายๆคนต่างก็ออกมาแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับตำแหน่งประธานสภาฯของส.ส.ไมค์ จอห์นสัน เนื่องจากมีประสบการณ์น้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับอดีตประธานสภาฯคนอื่นๆที่ผ่านมา

ส่วนประเด็นละเอียดอ่อนเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายการทำแท้งนั้น ที่ผ่านมาส.ส.ไมค์ จอห์นสัน มีประวัติต่อต้านเรื่องการทำแท้งแบบสุดโต่ง “ส.ส.ดอน เบเยอร์” สังกัดพรรคเดโมแครต จากรัฐเวอร์จิเนีย ได้ออกมาอธิบายว่า “ที่ผ่านมาการต่อต้านการทำแท้งของส.ส.ไมค์ จอห์นสัน ในทำนองที่ว่าเป็นความผิดแบบไม่มีเงื่อนไขถึงขั้นลงโทษจำคุกทางอาญานั้น ถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมากๆ”

ส่วน ส.ส.ฮาคีม เจฟฟรีส์ ผู้นำเสียงข้างน้อยของพรรคเดโมแครตได้ออกมากล่าวชี้ว่า “จุดยืนของส.ส.ไมค์ จอห์นสัน เกี่ยวกับต่อต้านการทำแท้งนับว่า “สุดโต่ง จนน่าวิตก” นอกเหนือจากนั้นยังปรากฏให้เห็นอีกว่าที่ผ่านมาส.ส.ไมค์ จอห์นสัน มีประวัติด้านการแอนตี้ต่อต้านสิทธิของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ “LGBTQ”

จากผลการหยั่งเสียงของสองสำนักหยั่งเสียงอันได้แก่ Economist และ สำนักหยั่งเสียงYouGov ระหว่างวันเสาร์ที่ 21 ถึงวันที่ 24 ตุลาคม หนึ่งวันก่อนที่สส.ไมค์ จอห์นสัน จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาฯคนใหม่นั้น ทั้งสองสำนักต่างเปิดเผยออกมาว่าสมาชิกพรรครีพับลิกันและฝ่ายอิสระต่างมีความชื่นชมส.ส.ไมค์ จอห์นสัน แค่เพียง 1%  ส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับคะแนนนิยมสูงที่สุดที่ 15% 

และภายหลังจากที่ส.ส.ไมค์ จอห์นสัน ได้รับเลือกเป็นประธานสภาฯแล้ว ปรากฏว่าสมาชิกในค่ายพรรคเดโมแครตเห็นชอบด้วยอยู่ที่ 27% และที่ไม่เห็นด้วยมีอยู่ที่ 39%(ข้อมูลจาก YouGovToday วันที่ 25 ตุลาคม 2023) ทั้งนี้คนอเมริกันส่วนใหญ่ที่เป็นฐานเสียงของทั้งค่ายพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตต่างก็ลงความเห็นไม่แตกต่างกันว่า “การที่ประเทศขาดประธานสภาฯนานสามสัปดาห์ นับเป็นเรื่องที่แสนเลวร้าย”

โดยในช่วงที่สภาฯขาดผู้นำหยุดชะงักเหมือนดั่งเป็นอัมพาตนั้น จากความคิดเห็นคนอเมริกันส่วนใหญ่ด้วยคะแนน 45% ต่อ 15% เล็งเห็นว่า นักการเมืองของค่ายพรรคเดโมแครตมีความสามัคคีมากกว่านักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกัน

หากจะวิเคราะห์ถึงสถานะการทำงานของประธานสภาฯคนใหม่สดๆซิงๆเยี่ยงส.ส.ไมค์ จอห์นสัน แล้วนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับงานใหญ่ยักษ์สองประเด็นใหญ่ๆด้วยกันนั่นก็คือ

ประเด็นแรกประธานสภาฯไมค์ จอห์นสัน จำต้องพยายามผลักดันทำให้สมาชิกในค่ายพรรครีพับลิกันมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการผ่านร่างกฎหมายให้เงินทุนรัฐบาลกลาง เพื่อจะได้มีงบประมาณเพียงพอหลีกเลี่ยงมิให้สถานบริการของรัฐบาลกลางต้องถูกปิดลง แต่เนื่องจากที่ผ่านมาเขาเป็นหนึ่งในพรรครีพับลิกันที่ประกาศคัดค้านร่างกฎหมายงบใช้จ่าย เพื่อให้รัฐบาลสามารถดำเนินต่อไปได้

สำหรับประเด็นที่สองการที่ประธานสภาฯไมค์ จอห์นสัน เคยออกมาคัดค้านแบบย้ำๆซ้ำๆว่า ไม่เห็นด้วยในด้านการส่งเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ยูเครน แต่หลังจากที่ประธานสภาฯไมค์ จอห์นสัน เข้าพบปะกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยมีส.ส.ฮาคีม เจฟฟรีส์ ผู้นำเสียงข้างน้อยของพรรคเดโมแครตเข้าร่วมในการประชุมด้วยนั้น ปรากฏว่าประธานสภาฯไมค์ จอห์นสัน มีท่าทีที่อ่อนลงโดยเขาได้กล่าวว่า “สหรัฐฯไม่สามารถปล่อยให้ “วลาดิมีร์ ปูติน” มีชัยชนะในสงคราม และสหรัฐฯก็ไม่สามารถจะปล่อยให้ยูเครนต้องตกไปอยู่ในมือของรัสเซีย โดยข้าพเจ้าจะขอข้อมูลเพิ่มเติมจากทำเนียบขาว และเรายังจะต้องยืนหยัดอยู่เคียงข้างกับพันธมิตรสำคัญของเราในตะวันออกกลางนั่นก็คือ อิสราเอล”

สำหรับสองประเด็นใหญ่ๆนี้ ถือเป็นการทดสอบการตัดสินใจของประธานสภาฯไมค์ จอห์นสัน ว่าจะออกมาในรูปแบบไหนและอย่างไร! เมื่อวิเคราะห์ถึงประสบการณ์ของ “ประธานสภาฯไมค์ จอห์นสัน”ซึ่งที่ผ่านมาเขาเป็นแค่เพียงนักวิชาการด้านรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรที่มีประสบการณ์น้อยที่สุดในอดีตประธานสภาฯในรอบ 140 ปีที่ผ่านมา แถมเขาก็ยังหน้าใหม่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของเหล่าบรรดาผู้นำในวุฒิสภาอาทิเช่น “วุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์” นักการเมืองชื่อดังผู้ที่เคยรับใช้รัฐบาลสหรัฐฯมาแล้วมากมายหลายตำแหน่งในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา โดยเขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ข้าพเจ้าไม่ค่อยทราบว่าส.ส.ไมค์ จอห์นสัน เป็นใคร” โดยวุฒิสมาชิกรอมนีย์อธิบายต่อไปอีกว่า “คุณสมบัติที่ดีของประธานสภาฯอย่างน้อยต้องเคยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสำคัญๆในสภาผู้แทนฯมาก่อน อีกทั้งการที่เขาเคยเป็นต้นคิดให้กับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ในการโค่นล้มการเลือกตั้ง นับได้ว่าเขาเอาแนวความคิดแนวของตนเอง อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ผิดอย่างมาก!

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นดูเหมือนว่าขณะนี้สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตสำคัญๆหลายๆด้าน โดยเฉพาะด้านการแก้ปัญหามิให้การบริหารจัดการงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯต้องหยุดชะงัก (Shutdown) รวมทั้งยังต้องแก้โจทย์ปัญหาสงครามยูเครนและปัญหาในตะวันออกกลาง แต่อย่างไรก็ตามสหรัฐฯคงจะไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องให้โอกาสประธานสภาฯไมค์ จอห์นสัน คนใหม่ได้ลองถือฆ้อนฝึกงานก่อนว่าจะได้ไปต่อหรือจะต้องหาหนทางอื่นๆกันอีกต่อไปละครับ