เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่บ้านบุญยะจินดา คุณหญิงกอแก้ว บุญยะจินดา นายณพ ณรงค์เดช นายอภิวุฒิ ทองคำที่ปรึกษาด้านกฎหมาย นายวีระพงค์ จิตต์มิตรภาพ ที่ปรึกษากฎหมาย เปิดเผยถึงกรณีที่ศาลยกฟ้อง คดีปลอมลายเซ็นและการปลอมเอกสาร ที่ นายเกษม ณรงค์เดช ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท KPN เป็นโจทก์ฟ้อง คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา, นายณพ ณรงค์เดช บุตรชายคนกลาง และนายสุทัศน์ จิรจรัสพร เป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับ ในความผิดฐาน "ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารสิทธิ" มูลค่าความเสียหายกว่า 2 หมื่นล้านบาท ก่อนศาลมีคำสั่งยกฟ้องในเวลาต่อมา 

คุณหญิงกอแก้ว กล่าวว่า ในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะต้องออกมาแถลงสื่อ ที่ผ่านมาไม่ออกมาพูดหรือให้ข่าวอะไรเพราะต้องการความชัดเจนของกฎหมาย และศาลแต่ตอนนี้ทุกอย่างชัดเจนแล้วว่าตนไม่ได้โกง และไม่ได้ปลอมลายเซ็นใครตามที่ถูกกล่าวหาที่ผ่านมามีการเผยแพร่ ข่าวที่ไม่ครบถ้วนทำให้สาธารณะชนเข้าใจผิด ตนในวัย 70 ปีมีครอบครัวที่อยู่อย่างสงบ ร่มเย็น เป็นสุขและใช้ชีวิต อย่างสบายๆ ไม่ได้ต้องการอะไรของใครในวันนึงเมื่อลูกเขยเข้ามาขอความช่วยเหลือก็ต้องช่วยเหลือเนื่องจาก เขาเป็นพ่อของหลาน 2 คนและเป็นสามีของลูกสาว ในวันนั้นไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ และไม่มีใครอยากจะยุ่งกับบริษัทนี้เมื่อรักลูก รักหลาน ก็ต้องรักลูกเขย ด้วยในวันนั้นถ้าตนไม่ได้ซื้อหุ้นไว้บริษัทอาจถึงขั้นล้มละลายธนาคารก็จะไม่ให้สินเชื่อ โดยณพ หรือนายณพ ณรงค์เดช ได้มาพูดกับตนเป็นคนสุดท้าย และขอความช่วยเหลือจึงตัดสินใจ ให้ความช่วยเหลือแต่มีเงื่อนไขว่า จะไม่ออกหน้าและให้นายณพ หาคนที่เชื่อใจ และไว้ใจได้มาใส่ชื่อแทน เมื่อวินด์ หรือวินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง (WEH) พ้นวิกฤต เมื่อนั้นคดีความต่างๆ และข้อกล่าวหาก็ตามมา

คุณหญิงกอแก้ว กล่าวต่อว่า เมื่อคุณลงทุนคุณก็ต้องได้หุ้นถ้าไม่ลงทุน ก็ย่อมไม่มีสิทธิ เมื่อไม่ลงทุนแต่อยากได้หุ้น เมื่อไม่ได้หุ้นก็เบี่ยงเบนหลักฐานความจริงทุกอย่าง การเงินมีครบ ไม่ได้พูดไปเรื่อยพูดไม่ครบ พูดเบี่ยงเบน ไม่ครบประโยคไม่ครบเรื่องทำให้คนอื่นได้รับความเสียหายพูดแต่บางส่วนบิดมา จนทำให้คนอื่นได้รับความเสียหายขอให้สังคมย้อนกลับไปในครั้งเมื่อบริษัทซึ่งไม่มีคุณค่า ไม่มีราคา ไม่มีใครอยากได้ ตนขอยืนยันว่าไม่เคยโกงใคร และไม่ได้ปลอมลายเซ็นใครตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าศาลได้มีคำพิพากษาออกมาทั้งสามศาลว่าไม่ได้โกง และไม่ได้ปลอมลายเซ็นใครอย่างที่ถูกกล่าวหา

ขณะที่นายณพ ณรงค์เดช เปิดข้อมูลที่ใช้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ เกี่ยวกับคดีโกงหุ้น (WEH) รวมถึงประเด็นภายในครอบครัว และธุรกิจของของครอบครัวณรงค์เดช โดยระบุว่า เป็นเวลากว่า 6 ปีแล้ว ที่มีบุคคล 2 กลุ่ม คือนาย นพพร และนายกฤษณ์ และนายกรณ์  พี่น้องของตน ที่ได้ทำการเผยแพร่ให้ข่าวเรื่องการฟ้องร้องตน และคุณหญิงกอแก้ว โดยใช้วิธีการให้ข่าวที่เบี่ยงเบนประเด็น โดยไม่ให้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน เพื่อให้ผู้ติดตามข่าวเกิดการเข้าใจผิด ว่าตนเองไปโกงนายนพพร และครอบครัว ส่งผลให้ตนเอง ครอบครัว และคุณหญิงกอแก้ว เสื่อมเสียชื่อเสียง และได้รับผลกระทบมากมาย เราเลือกที่จะไม่ตอบโต้ และรอให้ศาลมีคำพิพากษาครบทุกคดี จึงออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงทีเดียว เพื่อให้เกิดความชัดเจนในเรื่องราวที่เกิดขึ้น ว่าความจริงคืออะไร และใครกันแน่ที่โกง

นายณพ ระบุต่อว่า ในวันที่ 5 กรกฎาคมปี 2565 และวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ศาลอาญารัชดา และศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้มีคำพิพากษายกฟ้องทั้ง 2 คดี ในเรื่องที่พี่กับน้องของตนเอง ได้ให้ผู้เป็นพ่อมาฟ้องร้องตนกับคุณหญิงกอแก้ว ในข้อหาใช้เอกสารปลอม และปลอมแปลงเอกสาร โดยเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ศาลแขวงพระนครใต้ ซึ่งเป็นคดีที่นายนพพร ฟ้องตน และพวกในคดีโกงเจ้าหนี้ และต่อมาศาล ได้มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทุกคนเช่นเดียวกัน

วันนี้จึงพร้อมที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วนเพื่อที่จะให้เห็นถึงการเบี่ยงเบนประเด็น ให้ตนกลายเป็นคนผิดทั้งๆ ที่พยานหลักฐานชัดเจนแล้วว่าตนไม่ได้กระทำความผิดใดๆ โดยเรื่องทั้งหมดเกิดจากการที่ที่ตนไปซื้อบริษัท วินด์ เอนเนออร์ยี่ ต่อจากนายนพพร ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา และเกี่ยวเนื่องกับมาตรา 112 ที่หลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งการขายหุ้นเป็นการขายขาด เพื่อแก้ไขปัญหาของบริษัท (WEH) ที่ไม่สามารถกู้เงินเพื่อดำเนินกิจการต่อได้ จากการที่นายนพพรเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และธนาคารไม่ให้สินเชื่อ

โดยเมื่อตนเองรับโอนหุ้นมาได้มีการชำระเงินงวดแรก เมื่อปลายปี 2558 ประมาณ 3 พันกว่าล้านบาท แต่เมื่อนายนพพรได้รับเงินจากตนไปแล้ว กลับไปฟ้องเพื่อขอหุ้นคืน ซึ่งเขาแพ้คดี อนุญาโตตุลาการได้บังคับให้นายนพพรปฏิบัติตามสัญญากับตน คือ ชำระเงินค่าหุ้นส่วนอื่นๆ ต่อไป และไม่สามารถเอาหุ้นคืนได้ จึงชำระเงินเพิ่มอีกประมาณ 3 พันล้านบาทให้กับนายนพพร เมื่อต้นปี 2561 ซึ่งครบตามสัญญาเหลือเพียงเงินโบนัสที่ยังโต้แย้งกันอยู่ในคดีของศาลไทยเท่านั้น เมื่อนายนพพรได้เงินไปแล้วแต่ไม่ได้หุ้นคืน ก็ไปฟ้องคดีอื่นๆ ตามมาอีกหลายคดี ทั้งเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ในประเทศไทย และประเทศอังกฤษ

ในทุกคดี ที่เขตบริหารปกครองพิเศษฮ่องกงในประเทศไทยศาลตัดสินให้คุณหญิงกอแก้วชนะทุกคดี มีเพียงศาลอังกฤษศาลเดียวที่ตัดสินกฎหมายไทยให้คุณหญิงและตนเองแพ้คดี ต้องชดใช้เงินจำนวนมหาศาลให้แก่นายนพพร โดยสารอ้างความชอบธรรมที่ฟังความกับนายนพพรเพียงข้างเดียว โดยนายนพพรได้ใช้สื่อที่อังกฤษประโคมข่าวโจมตีทันทีว่าตน และคุณหญิงกอแก้วโกงนายนพพร แต่คำพิพากษาของศาลอังกฤษที่ใช้กฎหมายไทย ได้ถูก ศาลแขวงพระนครใต้ตัดสินกลับแล้ว ในคดีโกงเจ้าหนี้ ว่าไม่มีการโกงเจ้าหนี้ และให้ยกฟ้อง เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ที่ผ่านมา

สำหรับเรื่องตนเองกับพี่น้อง เป็นเรื่องที่คุณพ่อต้องเกี่ยวข้องด้วย เป็นเรื่องที่ตนเสียใจมากที่สุด และไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตของตนเอง มูลเหตุมาจากหุ้น (WEH) ที่ซื้อมาจากนายนพพร เพราะพี่น้องของตนต้องการหุ้นดังกล่าวที่ตนซื้อมาเป็นของตัวเอง จำนวนหุ้น 49 เปอร์เซ็น แบบฟรีๆ โดยที่ตนเป็นผู้ลงทุนเพียงคนเดียวไม่ใช่เป็นแบบกงสี ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหารสาม 

ส่วนกรณีที่นายกฤษณ์ไปให้สัมภาษณ์ถึงธุรกิจกงสี ตนไม่แน่ใจว่าต้องการจะสื่ออะไร เพราะ ทรัพย์สินที่ถือร่วมกันและรอเวลาแบ่งสรรค์กัน มีเพียงมรดกหลายรายการที่คุณแม่ (คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช) กำหนดชัดเจนไว้ในพินัยกรรมที่แบางกันกับพี่น้อง 3 คน ตามเจตนารมย์ของคุณแม่ โดยให้นายกฤษณ์เป็นผู้จัดการมรดก แต่ในปัจจุบันยังไม่ได้มีการแบ่งออกมา และธุรกิจที่ตนเองกับพี่น้องถือหุ้นร่วมกัน มีเพียงบริษัท เคพีเอ็นฯ เท่านั้น โดยในอดีตตนรับผิดชอบดูแลธุรกิจนี้ให้กับครอบครัวด้วยความเต็มใจ 

จนมาเกิดความขัดแย้งเรื่องหุ้น (WEH) จึงทำให้ตนเองโดนกันออกมา และไม่ได้ร่วมบริหารใดๆ รวมถึงกรณีที่บริษัทเคพีเอ็นเข้าไปถือหุ้นบริษัท ไรม่อนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ทั้งๆ ที่ตนเองถือหุ้นถึงหนึ่งในสาม รวมถึงตนมีธุรกิจส่วนตัวเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นธุรกิจที่ภูมิใจที่สุด ที่ได้ทำขึ้นตามความปรารถนาของคุณแม่ (คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช) ซึ่งมีแฟรนไชส์อยู่ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจโรงพยาบาล ที่ได้ร่วมลงทุนกับหุ้นส่วนอีก 2 บริษัท ที่ผ่านมาเมื่อมีธุรกิจที่น่าสนใจตนจะชวนพี่กับน้องก่อนเสมอว่าสนใจร่วมทุนด้วยหรือไม่เช่นเดียวกับบริษัท (WEH) ที่ได้ถามว่าสนใจร่วมทุนด้วยหรือไม่ แต่ได้คำตอบว่าเพ้อฝัน และปฏิเสธที่จะไม่ลงทุนกับตน จึงได้เดินหน้าหาเงินทุนด้วยตัวเอง เพราะเชื่อว่าเป็นธุรกิจที่มีอนาคต จนตนเองได้เข้าไปบริหารในธุรกิจของบริษัท (WEH) จนมีกำไร สามารถจ่ายเงินปันผลได้ พี่กับน้องของตนก็มากล่าวอ้างว่าได้ร่วมลงทุนด้วย และตนได้ชี้แจงไปว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรม แต่พี่น้องกลับได้ไปยื่นฟ้องตนที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เพื่อให้โอนหุ้นของบริษัทให้กับพวกเขา ทั้ง 49 เปอร์เซ็นแบบฟรีๆ และศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้มีคำพิพากษาว่าทั้งสองคนไม่ได้ร่วมลงทุนในการซื้อจ่ายเงินค่าหุ้น (WEH) กับตน รวมถึงไปฟ้องคดีอาญาตนกับคุณหญิงกอแก้ว ร่วมกันปลอม และใช้เอกสารปลอม เพื่อกดดันให้ตนเองยอมแบ่งหุ้นให้กับทั้งสองคน แต่ศาลได้ยกฟ้องทั้งทั้งสองคดี

การแถลงข่าวเรื่องการปลอมแปลงเอกสาร เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคดีที่ยกฟ้องทั้งสองคดี พร้อมยืนยันว่าตนเอง และคุณหญิงกอแก้วไม่เคยปลอมแปลงเอกสาร และใช้เอกสารปลอม อีกทั้งนายกฤษณ์ และนายกรณ์ ก็ไม่เคยให้ข่าวว่าศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้พิพากษายกฟ้องว่าทั้งคู่ไม่ได้ร่วมลงทุนซื้อหุ้น (WEH) กับตน จึงไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในหุ้นนี้ นอกจากนี้นายกฤษณ์ ก็ไม่เคยออกมาให้ข่าว ว่าถูกตนฟ้องว่าเป็นผู้จัดการมรดก แต่ไม่ยอมแบ่งมรดกตามเจตนารมย์ของคุณแม่ตั้งแต่ ปี2556 และนายกฤษณ์ก็ยังมีพฤติการณ์เบียดบังค่าเช่าที่ดิน ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ตกทอดมาถึงลูกทั้งสามคน และเอาไปเป็นของตัวเองแต่ผู้เดียว ซึ่งตน ได้ฟ้องต่อศาลแขวงกรุงเทพใต้ จนมีคำพิพากษา จำคุกนายกฤษณ์เป็นเวลา 12 เดือนโดยไม่รอลงอาญา และมีความผิดในลักษณะแบบนี้อีก ที่อาจจะต้องรับผิดในหลายกรณี

“ที่ผ่านมาผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวจึงไม่ต้องการพูดผ่านสื่อ เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่คุณกฤษณ์ และคุณกรณ์ได้ใช้สื่อในการให้ร้ายกล่าวหาผมว่าเป็นคนโกงพี่โกงน้อง ทำให้ครอบครัวมีปัญหา จนเกิดความแตกแยกภายในครอบครัว ผมจึงถูกบังคับด้วยสถานการณ์ให้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงให้ครบ เพื่อจะสรุปได้ว่าใครกันแน่ที่โกง” นายณพ กล่าว

นายณพ กล่าวทิ้งท้ายด้วยเสียงสั่นเครือว่า แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมา ตนจะไม่มีโอกาสเข้าไปพบกับพ่อที่บ้าน ไม่ได้รับแม้แต่โอกาสทั้งตน และครอบครัวให้เข้าไปพบผู้เป็นพ่อ จึงอยากจะเรียนว่าตน และลูกๆ ยังเคารพคุณพ่ออย่างสูงเช่นเดิม และรอวันที่ไปกราบคุณพ่อ ก่อน กล่าวขอบคุณครอบครัว และทีมทนายที่ยืนอยู่ข้างในวันที่ลำบากที่สุดในชีวิต

 

ด้านนายวีระวงค์ ที่ปรึกษากฎหมาย กล่าวว่า ความแตกต่างที่มีการฟ้องร้องที่ศาลประเทศอังกฤษ ซึ่งมีตนและธนาคาร และนายอาทิตย์ กับคดีที่เมืองไทยในประเด็นเดียวกัน แต่ที่เมืองไทยนั้น ไม่มีการฟ้อง ธนาคาร แต่พอได้ฟังมาสักระยะก็เริ่มเข้าใจข้อเท็จจริง โดยนายนพพร ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นโดยตรงแต่ถือผ่านบริษัทที่ชื่ออาร์อีซี( REC) และเป็นเจ้าของ (REC) 100%โดยอาร์อีซี( REC ) เป็นผู้ถือหุ้นของ วินด์ เอนเนอร์นี่ โฮลดิ้ง (WEH) อยู่เพียง 59.45% ในขณะที่ขายหุ้น ณ.ขณะที่ขายหุ้นออก ส่วนสาเหตุที่ขายหุ้นออกเพราะว่า นายนพพร โดยหมายจับคดีสำคัญคือ ม.112 และหนีออกจากเมืองไทย ซึ่งทางสถาบันการเงินในประเทศไทย รวมถึงไทยพาณิชย์ก็ไม่ให้การสนับสนุนทางการเงินกับบริษัทที่มีนายนพพร มาเกี่ยวข้อง ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยวินด์เอ็นเนอร์ยี่ ขณะนั้นจึงเกิดปัญหาทำให้ต้องขายหุ้นให้ได้ และบ.อาร์อีซีก็ต้องขายออกไปด้วย แต่นายนพพร ก็ไม่ได้ถืออาร์อีซีโดยตรง ซึ่งมีบริษัทอีก 2-3 บริษัทที่ตั้งขึ้นในต่างประเทศ 

นายวีระวงค์ กล่าวอีกว่า จะสรุปง่ายๆว่านายณพ ซื้อหุ้นจากนายนพพร แต่ไม่ได้ซื้อหุ้นวินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ แต่เป็นหุ้นอาร์อีซี ฉะนั้นใครที่เป็นเจ้าของอาร์อีซีจะเป็นเจ้าของหุ้นวินด์ฯ (WEH) จุดที่นายนพพรขายหุ้น ทางธนาคาร ก็พร้อมจะสนับสนุนสินเชื่อ ซึ่งขณะนั้นวินด์ เอ็นเนอร์ยี่ มีโครงการ วินด์ฟาร์ม ทำไฟฟ้าจากกระเเสลม อยู่ 8 โครงการ ธนาคาร สนับสนุน 2 โครงการ และมีอีกโครงการคือวะตะแบก ส่วนอีก5 โครงการยังไม่ได้เริ่ม โดยโครงการไฟฟ้าพลังลม ต้องมีที่ดินที่มีลม ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ของรัฐ เรียกว่าที่ดิน ส.ป.ก.ซึ่งวินด์ฟาร์มทั้งหมดอยู่ ส.ป.ก.ต้องมีสัญญาเช่า และจำกัดอายุ จากนั้นต้องใช้สัญญาให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ส่งผลให้ต้องระบุวันท่จะผลิตไฟฟ้า เพื่อไม่ให้ประเทศชาติเสียหาย หากทำไม่ได้ก็จะถูกปรับ หรืออาจถูกเรียกค่าเสียหายและยกเลิกสัญญา ซึ่งหลังจากที่นายณพ มาเป็นผู้ซื้อหุ้น ก็เท่ากับนายนพพร ออกไป ทางธนาคาร ก็กลับมาสนับสนุนต่อ โดยเงื่อนไขการเบิกเงิน จะต้องให้เจ้าของโครงการลงทุนก่อน