ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
การประชุมสมัชชาใหญ่เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา มีการพิจารณาญัตติของจอร์แดน “เรื่องให้หยุดยิงระหว่าง ฮามาส-อิสราเอล” เพื่อการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม”
ผลออกมาคือในการประชุมของสมาชิก 193 ชาติ มี 120 ชาติเห็นชอบ ขณะที่ 45 ชาติงดออกเสียง แต่มี 14 ชาติคัดค้าน ผู้เขียนรู้สึกดีใจที่ประเทศไทยเป็น 1 ใน 120 ประเทศ เพราะมันแสดงถึงการยึดหลักมนุษยธรรมของไทยเราที่ได้ประกาศจุดยืนมาอย่างต่อเนื่อง
ทว่า 14 ชาติที่คัดค้านมีประเทศเล็กๆแถบแปซิฟิคและยุโรปตะวันออกที่อยู่ในกระเป๋าสหรัฐฯ แต่ที่สำคัญคือ สหรัฐฯ และอิสราเอลเป็นจ่าฝูงในการคัดค้าน ส่วน 45 ประเทศที่งดออกเสียงคงเกรงใจสหรัฐฯ จนกระทั่งกลืนน้ำลายตัวเอง เรื่องหลักมนุษยธรรมที่เคยใช้อ้างอิง เมื่อสงครามรัสเซีย-ยูเครน
เรื่องการคัดค้านมติให้หยุดยิงและให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมนี้ นับเป็นประเด็นหลัก ที่เห็นได้ชัดเจนว่า “สหรัฐฯ” และ “อิสราเอล” นั้นไม่ได้ยึดถือหลักมนุษยธรรมอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะอ้างอย่างไร
ส่วนทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่ารู้สึกผิดหวังในบรรดาสมาชิก 120 ชาติ ซึ่งเขากล่าวว่าคงลืมไปแล้วว่าการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้นมาก็เพื่อปกป้องมิให้เกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (HOLOCAUST) ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีก
อันนี้ก็ทำให้ผู้เขียนกังขามากๆ เพราะสหประชาชาติน่าจะถูกตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างสันติภาพโลก และป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (ETHNIC CLEANSING) ของมวลมนุษยชาติ รวมทั้งชาวปาเลสไตน์ที่กำลังถูกฆ่าเพื่อล้างเผ่าพันธุ์อย่างช้าๆ ไม่เชื่อก็ไปดูรายงานปี 2020 ของคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมของสหประชาชาติแม้ไม่ได้ระบุชัดเจนแต่อ่านรายงานแล้วสรุปได้ว่าเป็นการวางแผนอย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้นายเนทันยาฮู ยังกล่าวอีกว่า อิสราเอลต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดหรือล่มสลายของอิสราเอล แหมทำอย่างกับว่ากองทัพอิสราเอลกระจอก คงลืมไปว่ากองทัพอิสราเอลอยู่ในอันดับ 3 หรือไม่เกินอันดับ 5 ของโลก ส่วนกองกำลังติดอาวุธของฮามาสนั่นต่างกันราวฟ้ากับเหว
นายเนทันยาฮู ยังออกมากล่าวอีกว่า อิสราเอลมีทางเลือก 2 ทาง คือสงครามและสันติภาพ แต่ขณะนี้เลือกสงคราม นั่นก็หมายความว่าไม่สนใจเรื่องคุณธรรม มนุษยธรรม แต่มุ่งจะก่อสงครามเพื่อสังหารฮามาสให้สิ้นซาก โดยไม่คำนึงถึงว่าชาวปาเลสไตน์ในกาซาโดยเฉพาะเด็กๆจะเสียชีวิตเท่าไร ตอนนี้ยอดขึ้นไปถึงกว่า 3,000 คน และจำนวนคนตายเพิ่มเป็น 8,000 เศษ ในสายตาเนทันยาฮู คงยังไม่พอซึ่งก็ยังไม่รู้จะเสียอีกเท่าไร จึงจะพอใจเนทันยาฮู เทียบกับการสูญเสียชีวิตชาวอิสราเอล 1,700 กว่าคน จากการโจมตีของฮามาส
แล้วคนปาเลสไตน์ที่อยู่ในกาซา 2.3 ล้าน มีฮามาสเท่าไร หรือมันมีความผิดโทษฐานไปออกเสียงเลือกฮามาสมาเป็นรัฐบาลกาซา จึงต้องสังหารให้หนำใจ
เท่านั้นยังไม่พอยังสั่งให้โรงพยาบาล 2 โรงมีขนาดใหญ่เป็น 1,000 เตียง หนึ่งในนั้นคือโรงพยาบาลอัลกุดส์ ใกล้กาซาซิตี้ ให้ย้ายคนป่วยและบุคลากรทั้งหมดออกจากโรงพยาบาล ซึ่งผอ.องค์การอนามัยโลก(WTO) ก็ออกมาทวีตว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะย้ายและก็ไม่รู้ว่าย้ายแล้วจะเอาไปไว้ไหน ให้ไปนอนท่ามกลางสิ่งปรักหักพังหรือ ก็มีแต่นอนรอความตายลูกเดียว
ทางฝ่ายทหารอิสราเอลก็อ้างว่า ฮามาสไปตั้งกองบัญชาการในอุโมงค์ใต้โรงพยาบาล ทว่ากฎหมายมนุษยธรรมและอนุสัญญาเจนีวา ว่าด้วยการทำสงครามนั้น โรงพยาบาลเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับการปกป้อง โดยไม่มีข้ออ้างใดๆทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นเนทันยาฮู ยังปฏิเสธบรรดาญาติชาวอิสราเอลที่ถูกจับเป็นตัวประกันที่ขอให้มีการหยุดยิงเพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกัน
มองอย่างนี้ เมื่อเนทันยาฮูและกองทัพออกมาอ้างว่าจะต้องรบต่อไปเพื่อกำจัดฮามาส และชิงตัวประกันทั้งหมดออกมา ก็ยิ่งทำให้ยิ่งกังวลต่อตัวประกันคนไทย เพราะขนาดคนของเขา เขายังไม่แยแส แล้วนับประสาอะไรกับคนต่างชาติ รวมทั้งคนไทยจะได้รับการช่วยเหลือมาอย่างปลอดภัยหรือไม่ เพราะโดยสภาพของการสู้รบ โอกาสรอดของตัวประกันมีน้อยมาก ก็เอาเถอะเราคนไทยก็หวังว่าคนของเราจะรอดปลอดภัย แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นมันก็ง่ายต่อการที่อิสราเอลจะอ้างว่าเป็นฝีมือของฮามาส เพราะในสถานการณ์รบมันพิสูจน์อะไรไม่ได้
ทีนี้มาพูดเรื่องมนุษยธรรม ความหมายคือ ธรรมของมนุษย์ที่ทำให้คนแตกต่างจากสัตว์ ถ้าขาดมนุษยธรรม เราก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน แล้วโลกนี้จะอยู่กันได้อย่างไร คงรบรา เข่นฆ่า ล้างแค้นกันไม่รู้จบสิ้น สหประชาชาติก็หมดความหมายไปเลย
ส่วนอิสราเอลก็อย่านึกว่าจะหนีรอดไปจากเวรกรรมที่ก่อไว้ เพราะต่อไปนี้จะไม่มีความปลอดภัยสำหรับชาวอิสราเอลทั่วโลก จะไปไหนก็ต้องระวังตัว อย่างน้อยชาวมุสลิม 2,000 ล้านทั่วโลกก็คงมีไม่น้อยที่จะตอบแทนด้วยหลักเดียวกับอิสราเอล คือ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" แล้วโลกมันจะสงบสุขได้อย่างไร นี่ยังไม่นับชาวโลกที่มีมนุษยธรรมและรักความเป็นธรรมที่จะคอยประท้วงกิจกรรมของอิสราเอล หรืออาจจะนำไปสู่การงดลงทุน งดซื้อสินค้า และปิดกั้นสินค้าของอิสราเอลอีกด้วย
ตอนนี้ก็เกิดการประท้วงไปหลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรป และสหรัฐฯและในประเทศมุสลิม แม้แต่ในรัสเซียก็เกิดการประท้วงบุกสนามบินที่รัฐดาเกสถาน เมืองมาคัชคาลา กลุ่มประชาชนได้ฮือเข้าไปปิดล้อมและบุกเข้าสนามบินเพื่อค้นหาชาวยิว เนื่องจากเป็นเที่ยวบินที่มาจากเทลอาวีฟรัฐนี้ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ทางเทลอาวีฟก็แสดงความไม่พอใจต่อมอสโกหาว่าปล่อยปละละเลยไม่ปกป้องชาวยิว ในขณะที่การประท้วงก็เกิดทั่วไปทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ
เหตุการณ์อย่างนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในหลายประเทศทั่วโลก
และแม้ว่าในขณะนี้อิสราเอลจะเป็นต่ออย่างยิ่งในการทำสงครามกับฮามาส และสหรัฐฯก็ออกมาปกป้องโดยพุ่งเป้าไปข่มขู่อิหร่าน
ทว่าสงครามในตะวันออกกลางมีโอกาสขยายขอบเขตสูง แต่ไม่ใช่การรบระหว่าง รัฐกับรัฐ แต่มันจะเป็นสงครามจรยุทธ์จากกลุ่มติดอาวุธจากหลายชาติ รวมทั้งอิร่าน เพราะกลุ่มประเทศอาหรับนั้นเข็ดเขี้ยวมาแล้วกับสงคราม 6 วัน นำโดยนัสเซอร์แห่งอียิปต์เมื่อหลายสิบปีมาแล้วเพราะสหรัฐฯหนุนยิว ส่วนอิสราเอลก็คงจะยากมากขึ้นที่จะสร้างสัมพันธ์ทางการทูตแบบปกติตาม Abraham Accord ที่ทำแผนไว้แล้ว
อนึ่งอิสราเอลในขณะที่กระหยิ่มยิ้มย่องที่จะบดขยี้สังหารฮามาสและยึดกาซา อันเป็นที่มั่นแห่งสุดท้ายของชาวปาเลสไตน์ ที่จะต่อต้านอิสราเอลภายในพื้นที่ปาเลสไตน์ แต่ฮามาสย่อมไม่สูญสลาย ยังคงมีการเคลื่อนไหวในหลายพื้นที่อย่างน้อยในเลบานอน ซีเรีย หรือกาตาร์ ที่ให้การสนับสนุนจนฮามาสตั้งสำนักงานได้ที่นั่น
นอกจากนี้อิสราเอลยังมีจุดเปราะบางอยู่แห่งหนึ่ง คือศูนย์ปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และที่เก็บหัวรบนิวเคลียร์ที่เมือง DIMONA ซึ่งอยู่ไม่ห่างเมืองไฮฟามากนัก และถ้าเมืองนี้ถูกทำลายลงได้จากขีปนาวุธหรือโดรน หายนะอันยิ่งใหญ่จะเกิดกับอิสราเอล
สุดท้ายขอหยิบยกเอาส่วนหนึ่งของกวีนิพนธ์ของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6 ที่ใช้เค้าโครงเรื่องจากกวีนิพนธ์ของเชคเปียร์ Merchant of Venice หรือภาคไทย คือเวนิสวาณิช ดังนี้ “ฉะนั้นยิวแม้อ้างยุติธรรม จงกำหนดจดจำไว้ด้วยว่า ในกระแสแห่งยุติธรรม ยากจะหาความเกษมและเปรมใจ อันว่าความกรุณาปรานีจะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน”