จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าวของสำนักข่าวบางแห่งว่า จ.บึงกาฬ ไม่มีบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นแม้แต่ลูกเดียว ทำให้ประชาชนในพื้นที่รู้สึกไม่สบายใจ จึงนำมาสู่การแถลงข่าวโต้ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นโดยอำเภอปากคาด ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3 แห่งในพื้นที่ นำโดย นายทวี ชินณรงค์ นายอำเภอปากคาด, นายภิรมย์ ยนต์พันธ์ นายกเทศมนตรีตำบลปากคาด, นายบุญเหลือ ราชภักดี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลปากคาด, นายสมัย คงทัน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลนากั้ง, นายพงษ์ศักดิ์ พลภักดี กำนันตำบลปากคาด, นายนพดล สินธิสุทธิ์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ อ.ปากคาด เขต 1, นายขวัญใจ ชมพันธ์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ อ.ปากคาด เขต 2, และนายภูมิพันธ์ บุญมาตุ่น ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจังหวัดบึงกาฬ พร้อมชมรมคนถ่ายภาพปากคาด โดยมีสื่อมวลชน ร่วมติดตามการแถลงข่าว
นายทวี ชินณรงค์ นายอำเภอปากคาด กล่าวว่า อำเภอปากคาดมีความยาวติดลำน้ำโขงประมาณ 22 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3 แห่ง คือ เทศบาลต.ปากคาด, อบต.ปากคาด และอบต.นากั้ง โดยในการจัดงานบั้งไฟพญานาคมีการจัดในพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งพื้นที่ที่จัดงานที่กว้างที่สุดคือ ลานพญานาค เทศบาลตำบลปากคาด โดยมีความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งประชาชนมามากที่สุด โดยงานบวงสรวงพญานาคเริ่มในเวลา 17.00 น. และเกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคลูกแรกในจุดนี้ เวลาประมาณ 18.40 น. ซึ่งนายอำเภอปากคาดบอกว่า ตนและนายกเทศมนตรีตำบลปากคาดได้ประจำอยู่ที่นี่ในช่วงที่เกิดปรากฏการณ์ จากนั้นก็ทิ้งช่วงยาวเงียบสงบไปจนถึงช่วงเวลา 20.45 – 20.50 น. ก็เกิดปรากฏการณ์อีกครั้งที่หัวดอน เขตติดต่อระหว่างปากคาด กับ อ.รัตนวาปี อีกประมาณ 12 ลูก ซึ่งปกติแล้วประชาชนจำนวนหนึ่งอาจไม่ได้รอดู และทยอยกลับ ซึ่งแตกต่างจากปีที่ผ่านมาที่ขึ้นจุดเดียวกัน 34 ลูกที่ลานพญานาค แต่ปีนี้ขึ้นเป็น 2 ช่วง และระยะเวลาทิ้งห่างกันพอสมควร จึงอาจทำให้ นทท.ผู้ที่เดินทางมารอชมบั้งไฟพญานาคกลับไปก่อนไม่เห็นในช่วงหลังใน 7 แห่งของอำเภอปากคาด ที่ทยอยขึ้นในเวลา 20.45- 21.00 น.
ขณะที่ นายภิรมย์ ยนต์พันธ์ นายกเทศมนตรีตำบลปากคาด กล่าวว่า ตนรู้สึกไม่สบายใจที่ได้ยินข่าวว่าไม่มีบั้งไฟพญานาคขึ้นที่ อ.ปากคาด โดยตนนั้นอยู่ที่ลานพญานาค เทศบาลตำบลปากคาดตั้งแต่พิธีบวงสรวง ซึ่งประมาณ 18.40 น.ก็ได้ยินเสียงเฮขึ้น โดยประชาชนที่เห็นบอกว่า ขึ้นประมาณ 2 – 5 ลูก จากนั้นอีกครั้งก็คือ 20.50 น. ขึ้นครั้งละ 1 – 2 ลูก ซึ่งไม่ได้ขึ้นเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน และปีนี้ขึ้นช้าหน่อย พร้อมกล่าวถึงกรณีที่สื่อบางสื่อนำเสนอข่าวว่า บั้งไฟพญานาคไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่เกิดจากฝีมือมนุษย์ นายกเทศมนตรีตำบลปากคาด ย้ำว่า ตนเคยเห็นมาตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน และขณะที่เห็นตนก็มีตา มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนในการมองเห็น ในการรับรู้ และคนที่เห็นก็เห็นมาเป็นสามสิบสี่สิบปี และมีหลายล้านคนที่เห็น และบั้งไฟฯไม่ได้ขึ้นที่ฝั่งลาวเหมือนที่อาจารย์วิทยาศาสตร์บางท่านวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อ ไม่ใช่การยิงปืนอะไรที่ฝั่งลาว โดยตนกล้ารับประกันเลย และแต่ก่อนไม่ใช่แค่แม่น้ำโขง แต่ตามลำห้วยก็มีขึ้น ขึ้นต่อหน้าต่อตาก็มีระยะ 10 – 20 เมตร และถ้าหากว่า มีการยิงปืนทำไมต้องมายิงแถวนี้ รัตนวาปี หรือปากคาด ฯลฯ ทำไมเขาไม่ไปยิงแถวโขงเจียม ไม่ยิงที่ศรีเชียงใหม่ เมืองเลย ตั้งแต่เชียงรายไหลไปถึงอุบลราชธานี ทำไมไม่ไปยิงทุกจุด จะได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวทั่วประเทศ เพราะมันทำไม่ได้ เนื่องจากนี่คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ จึงอยากให้ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนในพื้นที่ มิเช่นนั้นจะเหมือนกล่าวหาว่าคนในพื้นที่หนองคาย-บึงกาฬ โกหกหลอกหลวง และถ้าโกหกคงไม่มีนักท่องเที่ยวแห่มารอชมเป็นจำนวนมากมืดฟ้ามัวดินรถติดเป็น4-5 กิโลเมตรจนถึงทุกวันนี้
โดยการแถลงข่าวครั้งนี้ คณะผู้บริหารของอำเภอปากคาด จังหวัดบึงกาฬ ย้ำว่า มีบั้งไฟพญานาคขึ้นจริง และขึ้นหลายจุด แต่อาจจะช้ากว่าปีที่ผ่านมา จึงอาจมีการนำเสนอข่าวออกไปก่อนที่บั้งไฟพญานาคจะขึ้น โดยจากข้อมูลที่ทางอำเภอปากคาดได้สรุปเป็นเอกสารให้สื่อมวลชนระบุว่า มี 7 จุดด้วยกันที่มีการบันทึกข้อมูลเอาไว้ เกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคขึ้นรวมกันถึงประมาณ 153 ลูก ได้แก่ 1.ท่าทรายเก่า บ้านศรีวิไล ต.นากั้ง 21 ลูก 2.แก่งอาฮอง บ้านต้าย ต.นากั้ง 18 ลูก, 3.หาดแห่ บ้านต้าย 6,นากั้ง 25 ลูก 4.บ้านเวินโดน ต.ปากคาด 27 ลูก 5.บ้านท่าสุขสันต์ (ปากห้วย) ต.ปากคาด 26 ลูก 6.บ้านท่าสวรรค์-ท่าสุขสันต์ ต.ปากคาด 11 ลูก และ7.ห้วยคาด-ลานพญานาค ต.ปากคาด 25 ลูก.
ทางด้าน นายบุญมา พันดวง คหบดีในบึงกาฬ กล่าวว่า ขอท้า ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศไทยมาพิสูจน์ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติกรณีเกิด ”บั้งไฟพญานาค”ในวันออกพรรษา ที่ท่านบอกว่าเป็นการยิงกระสุนส่องสว่างจากอาวุธปืนเอสเคจากฝั่งลาวขึ้นฟ้า ทำให้คนไทยเชื่อว่าเป็น”บั้งไฟพญานาค” ตามความเชื่อของคนไทยและลาวริมฝั่งโขง ซึ่งเคยยืนยันเรื่องนี้มามากกว่า 10-15 ปีแล้วและปัจจุบัน ดร.เจษฎา ก็ยังยืนยันคำเดิมที่ได้เสนอผ่านสื่อหนึ่ง โต้กันกับ นายนิพนธ์ คนขยัน ส.ส.เพื่อไทย เขต 3 บึงกาฬเมื่อเร็วๆ นี้ โดย ดร.เจษฎา ไม่ต้องไปจับคนลาวที่ยิงปืนมาพิสูจน์ให้คนไทยดูก็ได้หรอก แต่ให้มานั่งดูที่ริมฝั่งโขงในเขต อ.ปากคาดด้วยกัน โดยเชิญสื่อมวลชนส่วนกลางมาบันทึกภาพเป็นสักขีพยานด้วย เก็บภาพทุกมุม ทั้งยิงกล้องมาทางฝั่งลาวด้วย ขอร้องประชาชนหรือ นทท.ห้ามส่งเสียงช่วงพิสูจน์ด้วยกันทั้งฝั่งและลาว จะได้รู้ดำรู้แดงให้มันจบๆ ในยุคเรา และขอเดิมพัน 1 ล้านบาท ถ้าเป็นไปตามที่ ดร.เจษฎา วิเคราะห์หรือพิสูจน์มา แต่ถ้าเป็นไปตามความเชื่อของคนจังหนองคายและบึงกาฬ ดร.เจษฎา ต้องยอมจ่าย 1 ล้านบาท และยินดีจะออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางพร้อมอาหารที่พักให้ด้วย ถ้าตกลงตามคำท้านะครับ