แรงงานชาวพุทไธสง จ.บุรีรัมย์ ที่ทำงานในอิสราเอลหลายคนยืนยันยังไม่กลับไทยยอมเสี่ยงทำงานต่อ เพราะยังมีภาระหนี้สิน บางคนเป็นเสาหลักที่ต้องเลี้ยงดูครอบครัว หากเกิดผลกระทบขึ้นจากเหตุสู้รบพร้อมยอมรับ แม่เผยใจอยากให้ลูกกลับเพราะห่วงความปลอดภัยต้องวีดีโอคอลถามข่าวทุกวัน แต่ยอมรับกับการตัดสินใจของลูกและขอบคุณรัฐบาลที่เป็นห่วง
วันที่ 30 ต.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองน้ำคำ ต.มะเฟือง อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ ได้ลงพื้นที่สอบถามญาติและครอบครัวของแรงงานที่ยังทำงานอยู่ในอิสราเอล เพื่อสำรวจว่าลูกหลานที่ทำงานอยู่อิสราเอลต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือเดินทางกลับไทยหรือไม่ เพราะเกรงจะได้รับอันตรายจากเหตุสู้รบระหว่างกองกำลังอิสราเอล และกลุ่มฮามาส
ซึ่งจากการลงพื้นที่สอบถามญาติทราบว่าในหมู่บ้านมีแรงงานที่เดินทางไปทำงานอิสราเอลจำนวน 8 คน เดินทางกลับมาแล้ว 2 คน ส่วนที่เหลืออีก 6 คน ยังยืนยันผ่านทางครอบครัวว่ายังไม่ประสงค์จะเดินทางกลับขอยอมเสี่ยงทำงานต่อที่อิสราเอลจนครบสัญญา หรือเท่าที่นายจ้างจะจ้างทำงาน โดยส่วนใหญ่ให้เหตุผลตรงกันว่ายังมีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบ บางคนก็เป็นเสาหลักที่ต้องหาเงินส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัว
อย่างเช่น นางดนตรี อายุ 59 ปี แม่ของนายอานนท์ อายุ 40 ปีได้คุยวีดีโอคอลสอบถามข่าวและความเป็นอยู่ของลูกชายทุกวันด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ว่าผู้เป็นแม่จะอยากให้ลูกกลับบ้านเพราะห่วงความปลอดภัย แต่ลูกชายก็ยังยืนยันว่าปลอดภัยดีและจะขอทำงานต่อจนครบสัญญา จ้าง เพราะยังมีหนี้สินค่างวดรถยนต์ที่ยังต้องผ่อนจ่ายทั้งต้นและดอกเบี้ยอีกเป็นเงินหลักล้านบาท หากกลับมาบ้านก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินที่ไหนไปใช้หนี้ ลำพังแค่ทำนาคงไม่มีปัญหาจ่ายค่างวด แต่ก็รู้สึกโล่งใจที่ลูกชายบอกว่าจุดที่ทำงานอยู่ยังปลอดภัยดี ทางเจ้าหน้าที่และนายจ้างที่อิสราเอลเขาดูแลอย่างดี ซึ่งลูกชายก็บอกว่าที่นั่งยังมีแรงงานไทยทำงานอยู่ 18 คนก็ยังใช้ชีวิตปกติ
อย่างไรก็ตาม ลูกชายยังบอกด้วยว่า หากเกิดผลกระทบขึ้นจากเหตุสู้รบ เขาก็พร้อมยอมรับกับการตัดสินใจของเขา ก็ขอขอบคุณรัฐบาลไทยที่เป็นห่วงแรงงานและพยายามจะช่วยเหลือ ซึ่งแม่เองก็ยอมรับในการตัดสินใจของลูก ก็ได้แต่ภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองให้ลูกและแรงงานไทยทุกคนปลอดภัย
ด้านนายถาวร พินิจกิจ ผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองน้ำคำ บอกว่า ในหมู่บ้านมีแรงงานไปทำงานทีอิสราเอล 8 คน ในจำนวนนี้เดินทางกลับมาแล้ว 2 คน อีก 6 คน จากการสอบถามญาติก็บอกว่าตัวแรงงานไม่ประสงค์จะเดินทางกลับและจะขอทำงานที่อิสราเอลต่อ เพราะยังมีภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบ และต้องหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว ถึงแม้ว่าทางภาครัฐจะอยากให้แรงงานกลับมาก่อนเพื่อความปลอดภัย ส่วนภาระหนี้สิน และหากต้องการจะกลับไปทำงานที่เดิม ทางรัฐก็จะติดต่อประสานหาแนวทางช่วยเหลือตามขั้นตอน แต่ตัวแรงงานก็ยังยืนยันว่าจะทำงานต่อ ซึ่งก็จะได้รายงานให้ทางอำเภอได้รับทราบต่อไป