"กกร."ดึงน้ำตาลกลับมาเป็นสินค้าควบคุม ขายราคาเดิม กก. 24-25 บาท ชง ครม.เห็นชอบ 31 ต.ค.มีผล 1 พ.ย.66

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.)ว่า ได้เรียกประชุมคณะกรรมการชุดนี้เป็นการเร่งด่วน และได้พิจารณากำหนดให้สินค้าน้ำตาลทรายเป็นสินค้าควบคุมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 เพื่อป้องกันผลกระทบกับประชาชน และทุกภาคส่วนที่ใช้น้ำตาลทรายเป็นวัตถุดิบ ทั้งสินค้ากลุ่มอาหารกระป๋อง เครื่องดื่ม ขนมหวาน ที่อาจจะมีการปรับขึ้นราคา หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ได้ประกาศปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายหน้าโรงงานใหม่ โดยน้ำตาลทรายขาวจากเดิมกิโลกรัม (กก.) ละ 19 บาท เป็นราคา กก.ละ 23 บาท น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์จากเดิม กก.ละ 20 บาท เป็น กก. ละ 24 บาท ส่วนผลให้ราคาจำหน่ายปลีกน้ำตาลทรายขาว เพิ่มจาก กก.ละ 23 บาท เป็น กก.ละ 28 บาท และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ จากกก.ละ 24 บาท เป็นกก.ละ 29 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.66 

โดยหลังจากกำหนดให้เป็นสินค้าควบคุมแล้วจะประกาศผ่านราชกิจจานุเบกษา เบื้องต้นมีการประสานงานแล้ว และจะมีประกาศเผยแพร่ไม่เกินวันที่ 1 พ.ย.66 พร้อมกำหนดมาตรการกำกับดูแล 2 มาตรการคือ 1.กำหนดราคาจำหน่ายหน้าโรงงานที่ กก.ละ 19 บาท สำหรับน้ำตาลทรายขาว และ กก.ละ 20 บาท สำหรับน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และควบคุมราคาจำหน่ายปลีก กก.ละ 24 บาท สำหรับน้ำตาลทรายขาว และ กก.ละ 25 บาท สำหรับน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ซึ่งเท่ากับว่า น้ำตาลทรายจะยังคงจำหน่ายในราคาเดิม ไม่มีการปรับขึ้นแต่อย่างใด ส่วนจังหวัดอื่นๆที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล จะมีการกำหนดราคาตามระยะทางและต้นทุนการขนส่งต่อไป

ขณะเดียวกันที่ประชุม ยังได้สั่งการที่กรมการค้าภายในติดตามการจำหน่ายน้ำตาลทรายอย่างใกล้ชิด กรณีขายเกินราคาจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ มาตรา 25 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือฉันจำทั้งปรับ และหากมีการกักตุนหลังจากเป็นสินค้าควบคุมแล้วผู้จำหน่ายจะมีความผิดมาตรา 30 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากประชาชนพบเห็นการจำหน่ายเกินราคาที่กำหนดสามารถร้องเรียนผ่านมายังสายด่วน 1569 ของกรมการค้าภายในได้

สำหรับการดูแลเกษตรกรชาวไร่อ้อยนั้น ยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่ทอดทิ้งอย่างแน่นอน โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจะต้องเป็นผู้หามาตรการดูแลให้เหมาะสมต่อไปแต่จะต้องไม่ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ ซึ่งการประชุมในวันนี้มีตัวแทนจากทาง สอน.เข้าร่วมการประชุมด้วยและรับทราบมาตรการต่างๆที่จะต้องกลับไปดำเนินการ ยืนยันว่าการพิจารณาในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการขัดแย้งกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงอุตสาหกรรมแต่เพื่อเป็นการดูแลทั้งประชาชนและเกษตรกรจึงจำเป็นต้องหามาตรการที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่าย โดยไม่ผลักภาระไปให้กับประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่รัฐบาลจะต้องเป็นผู้พิจารณาทำให้เกิดความสมดุลให้มากที่สุด