“ภูมิธรรม”ยินดี ป.ป.ช.ตั้งกรรมการสอบแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่น แนะแลกเปลี่ยนความเห็นกับรัฐบาล ชี้ การพัฒนาเศรษฐกิจ กระดุมเม็ดแรก พาประเทศพ้นหลุมดำ
เมื่อวันที่ 29 ต.ค.2566 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ กล่าวกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งคณะกรรมการพิจารณาศึกษาโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ว่า ถ้ามองในแง่ดี ถือว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. พยายามจะดูให้เรียบร้อย และเป็นไปตามความถูกต้องทางกฎหมายมากที่สุด คิดว่าเป็นการช่วยกันดูให้รอบคอบขึ้น
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ไม่มีปัญหาและยินดีน้อมรับ หาก ป.ป.ช. ศึกษาเสร็จแล้ว อยากให้แลกเปลี่ยนกับทางรัฐบาล หากมีข้อเสนอแนะอะไร ขอให้เอาวัตถุประสงค์ของโครงการเป็นที่ตั้ง โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ซึ่งเวลา 9-10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจล้มลุกคลุกคลาน ถ้าให้นักเศรษฐศาสตร์มาดูหรือฟังจากนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก ประเทศเราอยู่ลำดับไหนของการพัฒนาเศรษฐกิจ ถ้ายังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อนาคตข้างหน้าจะมืดมน หากเศรษฐกิจตกต่ำมากกว่านี้จะมีปัญหา
“ก่อนที่จะมีการรัฐประหารปี 2557 เมืองอุดรธานี เป็นเมืองที่มีคนคึกคักมากที่สุด คนฝั่งลาวเข้ามาเที่ยว มีการทำงานทั่วถึงดี ได้คุยกับนักท่องเที่ยวทุกคน ประชาชนบอกว่าสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เศรษฐกิจดีมาก กำลังเติบโต ตั้งแต่นั้นมา SMEs ค่อยๆ ล้มละลายไป เศรษฐกิจฟุบลงไป ถ้าปรารถนาให้ประเทศพัฒนาเติบโตได้ ต้องพัฒนาเศรษฐกิจ” นายภูมิธรรม กล่าว
นายภูมิธรรม กล่าวว่า การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นกระดุมเม็ดแรกที่จะทำให้จีดีพีเติบโต ทำให้ก้าวไปสู่ประเทศที่พ้นจากหลุมดำ จึงอยากให้ ป.ป.ช. คำนึงถึงวัตถุประสงค์และตรวจสอบตามวัตถุประสงค์ ดูว่ามีข้อกฎหมายอะไรบ้าง หากข้อกฏหมายล้าสมัยช่วยบอกว่าจะหาทางออกอย่างไร ไม่อยากให้ใช้วัตถุประสงค์ของตนเองเป็นที่ตั้ง
ผู้สื่อข่าวถามว่าพร้อมที่จะปรับหลักเกณฑ์ แต่ไม่ถอยใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ต้องเอาวัตถุประสงค์เป็นที่ตั้ง ส่วนกระบวนการถ้าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ก็จะดี และต้องดูว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างที่เราปรารถนาหรือไม่ ถ้ายังอยู่ในวัตถุประสงค์ที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถือว่าไม่มีปัญหา
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะที่เรื่องการกู้เงิน 5.6 แสนล้านบาท เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่มีปัญหายากลำบาก รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ใช้เงินเป็นล้านล้านบาท และออกเป็นพระราชกฤษฎีกามาแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเห็นว่าประเทศวิกฤตต้องเดินหน้าควรช่วยกัน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของพรรคใด ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาลคนเดียว โครงการนี้เป็นผลงานของพี่น้องประชาชนร่วมกันทั่วประเทศ ทุกคนจะมีส่วนร่วมเป็นกำลังซื้อช่วยกันในช่วงที่มีปัญหาเศรษฐกิจ