ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในระหว่างปราศรัยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้สรุปเหตุผลของท่าน ในการช่วยเหลือด้านความมั่นคง จากสภาคองเกรส มูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการของอิสราเอลในฉนวนกาซา และกองทัพยูเครนเพื่อต่อต้านรัสเซียและความมั่นคงของอินโดแปซิฟิค ซึ่งขณะนี้นอกจากกรณีไต้หวันแล้ว การกระทบกระทั่งระหว่างจีน-ฟิลิปปินส์ ในเขตทะเลจีนตอนใต้ ก็ทำให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้น

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ไบเดนนำมากล่าวอ้างว่าการปกป้องระบอบประชาธิปไตย ในภูมิภาคเหล่านั้นมีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ เสมือนการต่อสู้ของสหรัฐฯในสงครามโลกครั้งที่ 2

ทว่าคำกล่าวอ้างเรื่องระบอบประชาธิปไตยในอิสราเอล และในยูเครนก็ดูจะมีความขัดแย้งกับความเป็นจริง ในเมื่อรัฐบาลเนทันยาฮู กำลังเผชิญกับการต่อต้านจากประชาชนจำนวนมาก ในความพยายามแก้ไขกฎหมาย ให้รัฐสภามีอำนาจเหนืออำนาจตุลาการ ด้วยเหตุผลเพียงเพื่อให้ตนเองและผู้นำพรรคร่วมรัฐบาลได้พ้นจากคำตัดสินของศาล อันนับได้ว่าเป็นการทำลายระบอบการปกครองประชาธิปไตย และออกกฎหมายที่ขัดต่อหลักนิติธรรม

ส่วนในยูเครน เซเลนสกี้ฉวยโอกาสภาวะสงครามประกาศเลื่อนการเลือกตั้งและควบคุมการปกครองตามกฎอัยการศึก

อนึ่งเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ทำเนียบขาวได้เปิดเผยข้อมูลการระดมทุนเพื่อขอเงิน 60,000 ล้านดอลลาร์ให้ยูเครนโดย 75% เป็นเงินช่วยเหลือทางทหาร อีก 14,300 ล้านดอลลาร์สำหรับอิสราเอล ซึ่งรวมถึงเงินช่วยเหลือด้านความมั่นคง 10,000 ล้านดอลลาร์

จะเห็นได้ว่าเงินช่วยเหลือเหล่านี้ถูกผูกติดกับการใช้จ่ายด้านอาวุธและระบบป้องกันภัยทางอากาศ พูดง่ายๆคือ เงินจำนวนดังกล่าวถูกใช้ในการจัดหาอาวุธจากอุตสาหกรรมผลิตอาวุธในสหรัฐฯ ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯเองยังมีปัญหาถังแตกนั่นคือสภาพหนี้สาธารณะที่สูงเกินรายได้ประชาชาติ จนต้องกู้เงินภายในและจากประเทศอื่นๆ แต่การที่จะขายพันธบัตรได้ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดสหรัฐฯเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 5.5% จึงทำให้รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยในพันธบัตรแพงขึ้น เพื่อสร้างแรงจูงใจ แต่มันก็เป็นภาระหนักกับรัฐบาลสหรัฐฯ

คาเรน คเวียตคอฟสกี้ อดีตนักวิเคราะห์เพนตากอน และผู้พันกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่เกษียณอายุแล้ว ได้วิจารณ์ผ่านสื่อว่า “ไบเดนอาจกำลังทำบทบาทที่เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำ แต่มันเป็นบทบาทที่มีประโยชน์ต่อกลุ่มทุน ที่มีอำนาจอิทธิพลต่อรัฐบาลสหรัฐฯ

อีกท่านคือ ชัค สปินนีย์ อดีตนักวิเคราะห์ข่าวเพนตากอน กล่าวว่าการระดมทุน จำนวนมหาศาลแก่อิสราเอล และยูเครนเป็นอีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตอาวุธมีบทบาทสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์ของทำเนียบขาว

สปินนีย์อ้างคำพูดของไอเซน เฮาวร์ อดีตนายพลและประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า “เรากำลังเผชิญกับหายนะทางยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ ที่เราสร้างขึ้นเอง และมันได้เกิดขึ้นเพราะได้รับแรงกดดันจากระบบเศรษฐกิจ การเมืองของสหรัฐฯเอง”

นั่นคือการตอกย้ำให้เห็นว่า การเมืองภายใต้อิทธิพลของอุตสาหกรรมผลิตอาวุธ ทำให้ยุทธศาสตร์และนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ มีผลทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯพังพินาศ แม้ยามถังแตก

ดังนั้นการที่สหรัฐฯไปมีส่วนร่วมให้เกิดความโกลาหลในภูมิภาคต่างๆ โดยอ้างการปกป้องประชาธิปไตยนั้น แท้จริงคือการดำเนินการเพื่อสนองประโยชน์ของอุตสาหกรรมผลิตอาวุธ และเชื่อมโยงไปสู่ธุรกิจการเงิน ซึ่งก็อยู่ในครอบงำกลุ่มเดียวกัน คือ กลุ่มทุนยิวไซออนิสต์

บทบาทของสหรัฐฯ ในฐานะมหาอำนาจพร้อมพันธมิตร คือ อังกฤษ และฝรั่งเศส จึงได้บิดเบี้ยวจากที่ควรเป็นนั่นคือ ช่วยกันธำรงไว้ ซึ่งสันติภาพของโลก แทนการสนับสนุนสงครามระหว่างฮามาสและอิสราเอล

ต่างจากบทบาทของจีนและรัสเซีย ที่เสนอให้มีการหยุดยิง และเจรจาสันติภาพ ในกรณีการสู้รับ ฮามาส-อิสราเอล ที่ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องสูญเสียชีวิตจำนวนมาก และมีทีท่าว่าจะมีการขยายขอบเขตของการสู้รบออกไป

จีนนั้นเสนอตัวถึงขั้นจะทำตัวเป็นคนกลางทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย ส่วนรัสเซียนั้นนอกจากเรียกร้องให้มีการหยุดยิงและเจรจาแล้ว ยังคงดำรงความเป็นพันธมิตรกับซีเรีย ด้วยการปกป้อง ซีเรียแต่ก็ยังมีคำถามว่า ขนาดรัสเซียส่งกำลังไปช่วยปกป้องซีเรีย แต่อิสราเอลก็ยังคงระดมโจมตีซีเรียอย่างไม่ยั้งมือ และไม่มีทีท่าจะเกรงใจรัสเซียเลย

นอกจากนี้ยังมีการกล่าวหาว่ารัสเซียให้การสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์กับฮามาส จนถึงขั้นผู้นำระดับสูงอิสราเอลออกมาประณามรัสเซียดังเช่น นายอาเมียร์ ไวต์แมน ผู้นำขบวนการเสรีนิยมแห่งชาติ ที่มีพรรคลิคุดรวมอยู่ด้วย ความว่า

“รัสเซียคือศัตรูของเรา หลังจากเราเอาชนะกลุ่มฮามาสได้แล้ว อิสราเอลจะตอบแทนรัสเซีย เราจะยุติสงครามครั้งนี้ (กับฮามาส) เราจะชนะ เพราะเราแข็งแกร่งขึ้น และหลังจากนั้นรัสเซียจะต้องเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่าย....”

ทว่าในขณะนี้ยังไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบจากปูติน และยังไม่ชัดเจนว่ารัสเซียจะมีบทบาทอย่างไรในวิกฤตการณ์ตะวันออกกลาง แต่ถ้าโอเปกลดการผลิตน้ำมันดิบลง เพื่อกดดันสหรัฐฯ เศรษฐกิจโลกก็คงทรุดตัวลงไปอีก เพราะเงินเฟ้อ แต่น้ำมันและก๊าซธรรมชาติรัสเซียก็คงจะขายได้มากขึ้น

สุดท้ายที่อยากจะบอกคือนโยบายต่างประเทศที่สำคัญ คือ การปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติ ทว่าของสหรัฐฯ มันกลายเป็นว่านโยบายของรัฐบาลไปเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมผลิตอาวุธ

สำหรับประเทศไทยผลประโยชน์ของชาติต้องมาก่อน แต่ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ครอบคลุม ไม่ใช่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าที่ได้ส่งคนงานไปทำงาน ซึ่งดูจะได้ไม่คุ้มเสียหากมองเปรียบเทียบแล้ว ผลประโยชน์ที่จะได้จากกลุ่มประเทศมุสลิม โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบียก็มีไม่น้อย ตามแผนวิสัยทัศน์ 2030 ของ MBS

แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าเราจะต้องดำเนินนโยบายเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การเป็นกลางโดยยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และมติของสหประชาชาติ น่าจะเป็นนโยบายระหว่างประเทศของไทย ที่ควรยึดถือใช่หรือไม่