เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2566 ที่ร้านอาหารริมถนนพุทธมณฑลสาย1 จุดเกิดเหตุที่ นางสาวหมิว นามสมมุติ อายุ 21 ลูกจ้างสาวร้องเรียนเพจสายไหมต้องรอด ว่าถูกนายจ้างทำร้ายร่างกาย ซึ่งได้พบกับ น.ส แอน นามสมมุติ เจ้าของร้านได้นำทีมข่าวตรวจสอบภายร้านที่มีร่องรอยฝ้าได้รับความเสียหายทะลุมาร้านข้างๆที่อยู่ติดกัน  นอกจากนี้ภายในครัวข้างหลังร้านที่ ผู้เสียหายระบุว่านายจ้างให้เป็นที่นอน จากการตรวจสอบพบว่าถูกแบ่งเป็น 2 ห้อง โดยห้องหนึ่งเป็นครัว อีกห้องหนึ่งเป็นห้องเก็บของและใช้นอน ซึ่งห้องดังกล่าวผู้เสียหายระบุว่าเป็นห้องที่เคยถูกจับขังๆว้ก่อรที่จะตัดสินใยปีนหนีออกมา

ด้านน.ส.แอน(นามสมมุติ) เจ้าของร้านเปิดเผยว่า น.ส.หมิว เคยมาเป็นพนักงานที่ร้านตั้งแต่ปี 2561 ทำงานได้เกือบ 1 ปี ก่อนจะมีเครื่องเกี่ยวกับการลักทรัพย์ ตนจึงให้ออกจากงาน

ต่อมาปี 2563 ได้รับนางสาวหมิวกลับมาทำงานอีกรอบ เนื่องจากนางสาวหมิวตั้งครรภ์ ซึ่งนางสาวหมิวบอกว่าสาเหตุที่ตั้งครรภ์ เพราะถูกผู้ชายข่มขืน อยากให้ตนเองช่วยเหลือให้กลับมาทำงานอีกครั้ง ตนจึงตัดสินใจรับนางสาวหมิวมาทำงานอีกรอบ

ทั้งนี้ระหว่างตั้งครรภ์ ตนเองก็พยายามดูแลนางสาวหมิว โดยการพาไปฝากครรภ์ และพาไปโรงพยาบาลทำตามขั้นตอนของแพทย์ จนถึงช่วงที่นางสาวหมิวคลอดลูก เจ้าหน้าที่ได้มีการเข้าไปประเมินที่บ้านของนางสาวหมิว และพบว่าด้วยสภาพความเป็นอยู่ น.ส.หมิว ไม่สามารถที่จะดูแลเด็กได้ จึงส่งเรื่องให้กับมูลนิธิแห่งหนึ่งรับเด็กไปดูแลต่อ ขอยืนยันว่า ตนเองไม่ได้ส่งตัวเด็กไปอยู่มูลนิธิ ประกอบกับตัว น.ส.หมิว ก็เป็นคนกดดันให้ทางมูลนิธิรับลูกไปเลี้ยงด้วย ตอนนั้นจึงเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของนางสาวหมิว 

กระทั่งช่วงเดือน ธ.ค. 2565  นางสาวหมิวมีปัญหากับเพื่อนที่ทำงาน ซึ่งเป็นเพื่อนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นมีการตรวจพบว่านางสาวหมิวมีการใช้ยาเสพติดร่วมด้วย แต่ตอนนั้นตนเองเข้าใจผิดว่าคนที่เสพยาคือเพื่อนของนางสาวหมิว จึงตัดสินใจไล่พนักงานคนนั้นออก  และให้นางสาวหมิวทำงานต่อ หลังจากนั้นพฤติกรรม น.ส.หมิว ก็เริ่มหนักขึ้น เช่น มีพฤติกรรมที่นัดพบผู้ชายออกไปนอกร้านตอนกลางคืน และเริ่มมีการขโมยสิ่งของภายในร้าน ซึ่งตัวเองก็จับได้และได้ตักเตือนไป นางสาวหมิวก็ยอมรับผิดและขอไม่ให้เจ้าของร้านเอาเรื่อง

ส่วนเรื่องการกินอยู่ภายในร้าน เดิมที น.ส.หมิว เช่าห้องอยู่ใกล้กับร้านอาหาร แต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมานางสาวหมิวอ้างว่ามีปัญหากับคนที่หอพัก จึงขออนุญาตตัวเองมาพักอาศัยอยู่ภายในร้านเป็นครั้งคราว ซึ่งตัวของนางสาวหมิวมีกุญแจร้านสามารถเข้าออกได้สะดวก พอกลับมารอบนี้พฤติกรรมของนางสาวหมิวก็ยิ่งหนักขึ้น คือเริ่มมีการขโมยสิ่งของภายในร้านและร้านค้าข้างเคียง รวมทั้งพาผู้ชาย ที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาในพื้นที่ส่วนกลาง พอถูกจับได้ก็อ้างว่า “ผู้ชายคนนั้นเป็นวิญญาณ ไม่ใช่คนจริงๆหรอก”

ขณะเดียวกันตัวเองก็ได้แจ้งความเอาผิดไป ตอนนั้น น.ส.หมิว ได้วิดีโอคอลมาหาตัวเองและพยายามทำร้ายร่างกายตัวเอง ผ่านวิดีโอคอล เพื่อไม่ให้ไล่ออกหรือดำเนินคดี ส่วนร่องรอยบาดแผลที่นักข่าวเห็น น.ส.หมิว อ้างว่า ถูกกลุ่มที่ให้นางสาวหมิวไปเปิดบัญชีม้าทำร้ายร่างกายมา 

ขณะที่เรื่องเงินเดือนที่บอกว่าไม่เคยได้รับเงินเลย เจ้าของร้านยืนยันว่า จ่ายเงินค่าจ้างปกติ และที่ผ่านมา น.ส.หมิว มักจะอ้างกับคนอื่นว่า ตัวเองต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของลูกที่ต้องนำไปฝากกับแม่ แต่ในความเป็นจริง นางสาวหมิวไม่ได้มีภาระค่าใช้จ่ายอะไรเลย 

และที่นางสาวหมิวอ้างว่าเจ้าของร้านทำร้ายร่างกายสารพัด ยืนยันว่า ถ้าตัวเองทำจริง ชาวบ้านห้องข้างๆ ยังไงก็ต้องได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่ด้วยสภาพของร้านที่พานักข่าวไปดูก็คงไม่สามารถที่จะก่อเหตุแบบนี้ได้ ถ้าจุดไฟเผาคงเกิดไฟไหม้ห้องไปแล้ว 

ส่วนที่ น.ส.หมิว ปีนฝ้าเพดานหลบหนี ยอมรับว่าวันนั้นตัวเองทนพฤติกรรมของนางสาวหมิวไม่ไหว เรื่องการขโมยของ  กับการที่ น.ส.หมิว ถอดเมมโมรี่การ์ดจากกล้องวงจรปิด จนกล้องวงจรปิดในร้านเสียทั้งหมด วันนั้นตนเองจึงบอกว่าจะแจ้งความเอาผิด ระหว่างที่ตัวเองไปบริการลูกค้าหน้าร้าน นางสาวหมิว น่าจะกลัวความผิด จึงปีนฝ้าเพดาน ข้ามไปร้านข้างๆ เพราะกลัวจะถูกดำเนินคดี

ด้านผู้จัดการสถานที่  เปิดเผยว่า ตนเองทราบว่า น.ส.หมิว เคยไปขโมยของกินในร้านอาหารต่างๆ ซึ่งก็เคยเตือนว่า “ทำแบบนี้มันไม่ดีนะ“ นางสาวหมิวก็ตอบกลับมาว่า ”หนูชอบขโมยกินอาหารจนติดเป็นนิสัยแล้ว“ ส่วนเรื่องที่นางสาวหมิวอ้างว่าถูกทำร้ายร่างกาย ตนเองก็เคยถามว่าไปถูกอะไรมา นางสาวหมิวบอกกับตัวเองว่า “ไปเล่นสเกตบอร์ดแล้วล้มก็เลยเป็นแผล” ซึ่งเรื่องการถูกทำร้ายร่างกายจะเกิดเหตุจริงหรือไม่นั้น ไม่สามารถระบุได้ เพราะว่าไม่ได้เห็นเหตุการณ์หากพูดไปจะเป็นการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

หลังจากนั้นนางสาวหมิวก็ใช้ชีวิตตามปกติ นอกจากนี้เมื่อ 2 เดือนก่อน ตนเองเห็นนางสาวหมิวพาผู้ชายมานัวเนียกันในพื้นที่ติดต่อกันถึง 2 วัน พอไปถามว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร นางสาวหมิวตอบกลับมาว่า “ที่ลุงเห็นน่าจะเป็นวิญญาณ ไม่มีใครมาหรอก เพราะสายตาลุงคงไม่ดี“ 

ทั้งนี้หากนางสาวหมิวถูกทำร้ายร่างกายจริง โอกาสที่จะขอความช่วยเหลือ มันมีจังหวะที่จะทำได้ถึง 90 เปอร์เซ็น เพราะตัวเองเจอกับ น.ส.หมิวทุกวัน แต่ที่ผ่านมานางสาวหมิวไม่เคยมาบอกอะไรเลย

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน.ภาษีเจริญ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุเพื่อเก็บพยานหลักฐานด้วย