นายกฯ เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หวังช่วยเหลือภาคแรงงานที่ไปเสี่ยงชีวิตในต่างประเทศ วอนคนไทยกลับมาแผ่นดินเกิด อย่าห่วงเงินไม่กี่หมื่นแลกกับชีวิต
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในที่ประชุม สส.พรรคเพื่อไทย ประจำสัปดาห์ ถึงสงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่กระทบต่อแรงงานไทยในอิสราเอล เป็นเครื่องสะท้อนว่าทำไมรัฐบาลต้องกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งมโหฬาร เพราะเกิดปัญหาแรงงานไทยเปลี่ยนใจไม่กลับประเทศ แม้สงครามจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพียงแค่นายจ้างให้เงินเพิ่ม 50,000 บาท และนายจ้างอ้างเรื่องการเลื่อนจ่ายเงินเดือนออกไปเป็นวันที่ 10 พฤศจิกายน ทั้งที่เสี่ยงต่อการเกิดปฏิบัติการภาคพื้นดิน จึงเป็นภาพสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า นี่คือปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ นอกจากนี้ สำนักข่าวกรองและฝ่ายความมั่นคง ยังระบุว่า ความรุนแรงของสงครามอิสราเอล-ฮามาส จะทวีขึ้น และลุกลามไปประเทศข้างเคียง จึงอยากขอให้สื่อมวลชนช่วยสื่อสารเชิญชวนคนไทยให้กลับมา เพราะเงินจำนวนเท่าใด ก็ไม่สามารถทดแทนชีวิตได้ และเป็นหน้าที่รัฐบาลที่ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้
”รัฐบาลต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าน้ำ ค่าไฟ พักหนี้เกษตรกร รวมถึงเงินดิจิตอลวอลเล็ต นี่คือเสียงสะท้อนที่เราไม่สามารถลืมได้“
นายเศรษฐา กล่าวต่อว่า แม้ว่านักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์พยายามบอกว่า เรื่องการรักษาวินัยการเงินการคลัง เป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึง แต่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ทำเพียงดิจิตอลวอลเล็ต จึงขอฝากให้ สส.ของพรรคลงพื้นที่สื่อสารกับประชาชน
นายเศรษฐา ระบุถึงการทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ต้องบินไปต่างประเทศว่า ไทยได้เปิดตลาดภาคการเกษตร ตามที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยเฉพาะการเปิดตลาดโค ซึ่งเป็นภาคปศุสัตว์ที่สำคัญของไทย ทั้งในบรูไน มาเลเซีย จีน และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งหากหลายประเทศมาร่วมลงทุนกับไทย จะทำให้ไทยมีศักยภาพในการเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 50,000 ตัวต่อวัน
นอกจากนี้ นายเศรษฐา ยังกล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อม สส. และการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยได้เน้นย้ำให้ สส. มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน แม้จะเป็นรัฐบาลแล้ว ก็จะลืมการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ได้ เพราะจะเป็นสัญญาณสำคัญนำไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป
ส่วนความสัมพันธ์ของรัฐบาลและสส. นั้น ถือว่าต่างคนต่างทำงานหนัก และต้องดูผลงานระยะสั้นเพื่อจะทำนโยบายบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน โดยตนเองจะเข้าพรรคให้บ่อยขึ้น เพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนผ่าน สส.ในพื้นที่ และแก้ไขปัญหา ยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น