นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX  ผู้นำนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของเมืองไทย กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาประกาศสานต่อนโยบาย Carbon Neutrality เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ ซึ่งกำหนดเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ร้อยละ 30 ของกำลังการผลิตยานยนต์ภายในประเทศ ภายในปี 2573 โดยให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้ในราชการแทนรถยนต์เดิมที่จะหมดอายุการใช้งาน หรือที่ต้องจัดซื้อจัดจ้างขึ้นใหม่ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังร่วมกำหนดมาตรการและมาตรฐาน เพื่อขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนรถสาธารณะทุกชนิดเป็นรถ EV 

"ขอชื่นชมวิสัยทัศน์ของนายกฯ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ช่วยกันเดินหน้าสร้างอนาคตที่ดีและมอบคืนอากาศและลมหายใจสะอาดให้กับประชาชน ด้วยการเปลี่ยนผ่านจากรถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนต้นกำเนิดฝุ่น PM 2.5 ที่ขณะนี้สภานการณ์กำลังรุนแรงขึ้นแล้ว ยังสามารถนำคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากกระบวนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมาซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสร้างรายได้คืนสู่องค์กรอีกทาง และหากคำนวณความคุ้มทุนจะพบว่าสามารถประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้กว่า 40% ค่าซ่อมบำรุงก็จะลดลงกว่า 60% เพราะรถ EV ซ่อมบำรุงตามระยะทาง ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรองอากาศ ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงให้สิ้นเปลืองเหมือนรถยนต์สันดาป"

ซีอีโอ NEX กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบกันดีว่ารถ EV ยังมีราคาสูงกว่ารถยนต์สันดาปแต่คุ้มค่ากว่ามาก หากจะมีการจัดซื้อรถ EV เพื่อมาทดแทนรถเดิมที่หมดอายุการใช้งานด้วยงบประมาณเท่ากับรถยนต์สันดาปที่ทางราชการกำหนดน่าจะยังไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงขอฝากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงกฏหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีความเหมาะสม รวมทั้งพิจารณากำหนดราคากลางตามความเป็นจริง แต่ระหว่างที่รอการปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง หากจะนำรถ EV มาใช้ควรดำเนินการในรูปแบบการเช่ารถยนต์ EV ทดแทนรถยนต์สันดาปไปก่อนน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า 

ทั้งนี้ NEX มองว่าไตรมาส 4/2566 และในปี 2567 ความต้องการรถ EV จะยิ่งเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด เพราะขณะนี้หน่วยงานหลายแห่งต่างเริ่มปรับเปลี่ยนมาใช้รถพลังงานไฟฟ้าทดแทนรถน้ำมันเดิมที่หมดสัญญา รวมทั้งบริษัทในกลุ่มธุรกิจขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ ต่างทยอยเปลี่ยนรถบรรทุกขนส่งหรือรถหัวลากที่เป็นรถสันดาปมาเป็นรถบรรทุกขนส่งพลังงานไฟฟ้า เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมก้าวเข้าสู่กระบวนการขนส่งด้วยระบบ Green Logistics 

"การที่รัฐบาลให้กระทรวงคมนาคมขับเคลื่อนการปรับเปลี่ยนรถสาธารณะทุกชนิด เช่น รถโดยสารประจำทาง รถยนต์รับจ้าง และรถสามล้อเป็นรถ EV ถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญของ NEX ซึ่งมีโรงงานผลิตและประกอบรถยนต์ในประเทศ มีโรงงานแบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศ และมีการผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศเพื่อลดการนำเข้า สอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้และผลิตยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ รวมทั้งเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก เชื่อว่าเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ภายในประเทศ ภายในปี 2573 เพื่อนำพาประเทศไทยสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม"