วันที่ 22 ต.ค.66 พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ศรภ. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ระบุว่า...

มุมมองที่ต้องพึ่งพาข้อเท็จจริง จากกรณี การเสด็จสวรรคตของ ร.8ไม่เช่นนั้น อาจทำให้คนมองเห็นว่า การรื้อฟื้นเรื่องนี้ เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง เท่านั้น

วันนี้ไปกินข้าวที่ร้านฮอทช้อบ สุขุมวิท 41

แล้วเลยเดินไปฟังคุณกังวาล พูดเรื่องข้อมูลใหม่ที่จะยื่นต่อศาล เพื่อ

ขอให้ทบทวนพิจารณาคดี การเสด็จสวรรคตของในหลวง ร.8ใหม่

ซึ่งมีจุดน่าสนใจตรงที่จะมี อ.จรัล ภัคดีธนากุล และ อ.ปรีชา สุวรรณทัต สนับสนุนด้วย ประเด็นการอภิปราย คือ การไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดี ร.8 การพิจารณาเขม่าปืนของกรมวิทยาศาสตร์ และ คัดค้านความเห็นของคณะแพทย์ เพื่อนำไปสู่การรื้อฟื้นคดีใหม่

ผล: เมื่อไปถึงงาน ปรากฏว่าอาจารย์ทั้งสองท่านไม่มา ผมจึงขอพูดแก้ตัวให้ ทางฝ่ายแพทย์ ผู้พิพากษา และอดีตเจ้ากรมวิทยาศาสตร์

สัก 5 นาทีหลังจากที่คุณกังวาลพูดจบแล้ว แต่ทางผู้จัดร่วมแสดงความไม่พอใจถามว่า ทำไมพวกแพทย์ พวกผู้พิพากษา ไม่มาเอง เรื่องลามปาม(ของขึ้น)ต่อไปถึงขั้นมีการท่องคาถาสาปแช่งผม จนผมซึ่งกำลังชักหงุดหงิดเช่นกัน ยังอดขำไม่ได้

การพูด 5 นาทีของผมสรุปได้ว่า

เรื่องสนิมปืนนั้น ตรวจดูแค่ ว่ามีสนิมที่ปืนหรือเปล่า ถ้ามีก็ แสดงว่าเป็นปืนที่ใช้ยิงมาก่อน ก็พอแล้ว ปืนที่พบในห้องบรรทมซึ่งมีสนิมขุมขึ้นอยู่ จึงไม่ใช่ปืนที่ทำให้ในหลวง ร.8 สิ้นพระชนม์ เพราะใช้ยิงมานานแล้ว คนร้ายจึงน่าจะนำปืนที่ยิงไปด้วย และนำปืนเก่าของพระองค์มาวางไว้แทน ดังนั้น เรื่องการตรวจ ทางเคมี สมัยใหม่ที่คุณกังวาลเสนอมาจึงไม่จำเป็นเลย

หลังจากเสียงปืนดังขึ้น นาย ชิตวิ่งไปกราบทูลพระชนนีว่า พระเจ้าอยู่หัว ยิงพระองค์ ต่อมาเมื่อนายปรีดีมา ก็บอกเหมือนเดิม

อีก พร้อมกับแสดงท่าให้ดูว่า ทรงยิงอย่างไร ทุกคนจึงเชื่อนายชิต ทั้งหมด เป็นผลทำให้รัฐบาลออกแถลงการณ์ผิดพลาด จนวันรุ่งขึ้น

นายชิต จึงยอมรับว่า ตนไม่ได้เห็นจริง และมีพิรุธติดตามมาอีก 12 เรื่อง

ซึ่งกรณีนี้ ศาลก็เพ็งเล็งเป็นประเด็นหลักในการพิจารณาคดีอยู่อยู่แล้ว

นายชิต ขอร้องให้ นายบุศย์ ให้การต่อศาลว่า ตนเองไม่ได้เข้าไปในห้องพระบรรทม ดังนั้นนายบุศย์จึงให้การกลับไปกลับมาว่า เห็นนายชิต อยู่หน้าเตียง ครั้งที่ 2 บอกเห็นอยู่กลางห้อง ครั้งที่ 3 บอกเห็นอยู่หน้าห้อง ตามที่นายชิต ต้องการ

สุดท้าย นายชิต ก็ซัดทอดนายบุศย์ว่า เป็นผู้พาบุคคลภายนอกมายิง ทำให้นายบุศย์ ให้การต่อศาล ว่านายชิต เป็นคนพามาเอง แสดงว่าทั้ง 2 คนยอมรับโดยปริยายว่า ในหลวง ร.8 มิได้ยิงพระองค์เอง

แล้วเรื่องปืน ก็เกี่ยวข้องกับนายชิตทั้งสิ้น เป็นคนนำปืนไปมอบให้เจ้าพนักงาน เป็นคนเก็บปลอกกระสุนเอาไปใส่ไว้ในกล่องแต่ไม่บอกตำรวจ พอบอกที่เก็บปลอกได้ก็สลับที่กันไปมา เป็นคนพา จนท.มาค้นหัวกระสุน ที่ไม่บุบสลายจากในฟูก ซึ่งตามปกติลูกปืนควรทะลุออกไป

ถ้า นายชิต และ นายบุศย์ ให้การไม่มีพิรุธ ไม่ซัดทอดกันเอง

สู้คดีในข้อเท็จจริง ไม่ยอมรับตามที่ถูกกล่าวหา ก็อาจจะได้ประโยชน์

แต่กลับไปสู้ในข้อกฏหมายหลายเรื่องว่า ตำรวจคนนี้ไม่มีชื่อในกรรมการสอบสวน ฯลฯ ขอให้การพิจารณาคดีเป็นโมฆะ จึงทำให้ข้อพิรุธในคดีมัดตัว เพิ่มขี้น ซึ่งไม่ได้เกิดจากการกลั้นแกล้งของศาลแต่อย่างใด

ส่วน การไปยื่นข้อมูล ขอให้ทบทวนคดีใหม่ของคุณกังวาล และพวก

โดยยื่นเรื่องขอให้พิสูจน์เขม่าปืนใหม่ ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งคงไม่สามารถหักล้างเรื่องท่ายิง กรณีถ้าทรงถือปืนเอง เพราะจะไม่สามารถลั่นไกได้ เนื่องจากท่ายิงจะพิศดารมากเกินกว่าที่มนุษย์จะทำได้

เรื่องนายตี๋ เป็นพยานเท็จมายอมรับเอาตอนอายุ 100 ปีก็เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ศาลก็ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องหลักในการพิจารณาคดีอยู่แล้ว

หลายคนเห็นว่า การรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมา มีจุดประสงค์แค่ “ต้องการให้

ปืนไปอยู่ในพระหัตถ์ ให้ได้” ซึ่งผมขอแก้ตัวให้คุณกังวาลหน่อย คงไม่มีเจตนาไปถึงเรื่องนี้แน่นอน สังเกตุได้จากกรณีที่ผมเขียนข้อผิดพลาดในหนังสือที่คุณกังวาลเขียน ซึ่งมีสาระสำคัญอยู่ 7-8 เรื่อง คุณกังวาลก็พยายามแก้ไขเปลี่ยนแนวทางใหม่ๆ เรื่องนี้..คงต้องดูกันต่อไปครับ

อ้อ เรื่องทางนิติเวช ไปคิดแก้หาท่ายิงที่สมจริงมาเสียก่อน

อย่าข้ามขั้นตอน นะครับ