วันที่ 20 ตุลาคม นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Fis & Fin Forum 2023 จัดโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ว่า แม้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงเผชิญกับความอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ อาทิ สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ประสบปัญหาทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงและปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่างๆ ที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป

นอกจากนี้หนึ่งในความท้าทายหลักของไทย คือ การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากรที่กำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ซึ่งจะส่งผลต่อภาคส่วนต่างๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ชุมชน หรือครอบครัว ปัญหาดังกล่าวหากขาดการวางแผนที่ดีและการร่วมมือกัน ย่อมก่อให้เกิดปัญหาทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว ที่ทำให้เป็นปัญหาด้านการเงินของครัวเรือนไทยได้ในอนาคต

นายกฤษฎา กล่าวว่า แม้ภาครัฐได้พยายามสร้างกลไกการออมเพื่อการชราภาพและการเกษียณอย่างแต่เนื่อง แต่ยังมีผู้สูงอายุจำนวนมากที่มีเงินออมไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตในช่วงบั้นปลาย อีกทั้ง รูปแบบการใช้ชีวิตของคนในสังคมที่มีความเป็นบริโภคนิยมมากขึ้น ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่ระมัดระวังและมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 90.7% ต่อ จีดีพี ณ ไตรมาส 2 ปี 2566 นอกจากนี้หลายครัวเรือนมีปัญหารายรับไม่พอรายจ่ายและขาดวินัยการออม ทำให้มีความเปราะบางทางการเงินสูง

นายกฤษฎา กล่าวว่า ประกอบกับการพัฒนาของเทคโนโลยีในปัจจุบันได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ยังมีประชาชนจำนวนมากไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ และความไม่เข้าใจบริการทางการเงินรูปแบบใหม่อย่างถ่องแท้ ทำให้ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ภาครัฐได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน ปี 2565-2570 เพื่อกำหนดกรอบนโยบายและกลไกการบูรณาการเพื่อพัฒนาทักษะทางการเงินของประเทศไทย โดยมีคณะกรรมการการพัฒนาทักษะทางการเงินที่ประกอบด้วยหน่วยงานจากหลายภาคส่วนของประเทศ อาทิ หน่วยงานจากภาคการเงิน ภาคการศึกษา ภาคการพัฒนาสังคม ร่วมกันขับเคลื่อน ซึ่งการพัฒนาทักษะทางการเงินให้กับประชาชนเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของกระทรวงการคลังที่สำคัญด้านการสร้างโอกาส และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

นายกฤษฎา กล่าวว่า ซึ่งแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินฯ ครอบคลุมประชาชนไทยทุกช่วงวัย โดยได้ระบุกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับ การพัฒนาทักษะทางการเงินอย่างเร่งด่วน เนื่องจากความรุนแรงของสภาพปัญหา ได้แก่ กลุ่มผู้มีความเปราะบางทางการเงินสูง ประกอบด้วย ผู้ประสบปัญหาภาวะหนี้รุนแรงและปัญหาความยากจน กลุ่มผู้พิการ กลุ่มประชาชนระดับฐานราก กลุ่มเยาวชน กลุ่มผู้สูงวัย ซึ่งความท้าทายคือการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว ประกอบกับทรัพยากรของหน่วยงานภาครัฐมีอยู่จำกัด ดังนั้น การกำหนดกลุ่มและพื้นที่เป้าหมายจึงจำเป็นต้องแม่นยำ เพื่อให้การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ