หนี้สิน SME ไตรมาส 3/66 ขยายตัวต่อเนื่อง แนวโน้มกู้ยืมเงินนอกระบบพุ่ง แบงก์เข้มปล่อยสินเชื่อ-ดอกเบี้ยสูง ภาครัฐควรช่วยหาแนวทางเพิ่มโอกาสให้ SME เข้าถึงสินเชื่อโดยเฉพาะในรูปแบบเงินทุนหมุนเวียนของกิจการที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว.ได้ทำการสำรวจผู้ประกอบการ SME ถึงสถานการณ์ด้านหนี้สินกิจการของ SME ไตรมาส 3 ปี 2566 ซึ่งเป็นการสำรวจอย่างต่อเนื่อง โดยสอบถามผู้ประกอบการ จำนวน 2,633 ราย ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 13 – 22 กันยายน 2566 พบว่า ผู้ประกอบการ SME ที่มีภาระหนี้สินในไตรมาส 3 ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 60.3 ส่วนมากเป็นกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก (Small) และขนาดกลาง (Medium) โดยเฉพาะสาขาการบริการ ด้านการขนส่งสินค้า ร้านอาหาร การผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ
สำหรับแหล่งกู้ยืมของธุรกิจ SME ร้อยละ 66.2 กู้ยืมมาจากสถาบันการเงิน อีกร้อยละ 33.8 มาจากแหล่งเงินทุนนอกระบบสถาบันการเงิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) ในธุรกิจภาคการค้า โดยเฉพาะร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ที่ใช้บริการจากแหล่งนี้และเป็นการกู้ยืมจากเพื่อน/ญาติพี่น้องมากที่สุด ตามข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ
โดยจากผลสำรวจ พบว่า ผู้ประกอบการ SME เกือบร้อยละ 90 กู้ยืมเงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ รองลงมา คือ กู้ยืมเพื่อนำมาลงทุน และการชำระหนี้เดิม ผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่มีภาระหนี้สินอยู่ในช่วง 50,000 ถึง 500,000 บาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นตามขนาดของธุรกิจ
ทั้งนี้ผู้ประกอบการ SME ร้อยละ 30 ประเมินว่าระยะเวลาสัญญาเงินกู้ของ SME ที่ได้รับยังสั้นเกินไปจึงส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ แต่ก็ยังมี SME อีกร้อยละ 20 ที่มีแผนจะกู้ยืมในอนาคตเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการ แม้ผู้ประกอบการ SME ร้อยละ 75 กำลังเผชิญปัญหาด้านการเงินและภาระหนี้สินทั้งการมีสภาพคล่องลดลง เผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่ง SME เกือบร้อยละ 50 ยังสามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดสัญญา แต่ SME ร้อยละ 38.4 เริ่มผิดเงื่อนไขการชำระหนี้และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ปัญหาสำคัญมากที่สุดในด้านหนี้สินของ SME คือ อัตราดอกเบี้ยสูง ทำให้เป็นภาระและความเสี่ยงด้านต้นทุนและการลงทุนในช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น
ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นกลับมาเป็นปกติ ประกอบกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก ปัญหาในด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SME ยังคงมีอย่างต่อเนื่องคือ ขั้นตอนการกู้ยุ่งยาก ต้องใช้เอกสารหลักฐานสำคัญจำนวนมาก และอนุมัติล่าช้า ขาดความรู้ในการจัดการบริหารการเงินและหนี้สิน รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ และสิ่งที่ผู้ประกอบการ SME ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุดคือ การลดอัตราดอกเบี้ยหรือการได้รับดอกเบี้ยในอัตราพิเศษ รวมถึงการลดเงื่อนไขการยื่นขอเพื่อเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อ การมีสถาบันการเงินสำหรับธุรกิจรายเล็กหรือรายย่อยโดยเฉพาะ การขยายระยะเวลาชำระหนี้ เป็นต้น