ทันสถานการณ์โลก / Benedict

ผ่านมามากกว่า 10 วันแล้วนับตั้งแต่สงครามความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ปะทุขึ้นในเช้าวันที่ 7 ตุลาคม ด้วยการโจมตีแบบไม่คาดคิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสร้างความสูญเสียมหาศาลต่อทั้งสองฝ่าย 

ณ วันที่ 17 ตุลาคม  การต่อสู้กันระหว่างทั้งสองฝ่ายได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 1,400 รายในอิสราเอล ได้รับบาดเจ็บอีก 3,400 คน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3,000 รายในฉนวนกาซาและบาดเจ็บประมาณ 12,000 ราย

ต่อไป เรามาเช็กดูท่าทีของสหรัฐฯ(ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซท์ บีบีซีไทย) ซึ่งเป็นมหาอำนาจที่ควรแสดงบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการยุติสงครามครั้งนี้  แต่กลับสนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขัน ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดและมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

7 ต.ค.

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประณามการโจมตีของกลุ่มฮามาสว่า "ไร้สามัญสำนึก" พร้อมยืนยันว่าสหรัฐฯ จะให้ความช่วยเหลือแก่อิสราเอลในการป้องกันตนเองตามที่อิสราเอลต้องการ

"สหรัฐฯ ยืนเคียงข้างประชาชนอิสราเอลในการเผชิญกับการโจมตีของผู้ก่อการร้าย และอิสราเอลมีสิทธิ์ในการป้องกันตนเองและประชาชนของตน" ไบเดนแถลงที่ทำเนียบขาว โดยมี แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ร่วมด้วย

9 ต.ค.

ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ ได้เคลื่อนเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส เจอรัลด์ อาร์ ฟอร์ด (USS Gerald R. Ford) พร้อมด้วยเรือลาดตระเวนติดขีปนาวุธ 1 ลำ และเรือพิฆาตติดขีปนาวุธ 4 ลำ มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อสนับสนุนอิสราเอล

แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่า มีพลเมืองอเมริกันในอิสราเอลเสียชีวิตอย่างน้อย 9 ราย

10 ต.ค.

สหรัฐอเมริกา ร่วมกับฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และสหราชอาณาจักร ออกแถลงการณ์ว่า “การกระทำของผู้ก่อการร้ายกลุ่มฮามาสไม่มีเหตุผล ไม่มีความชอบธรรม และจะต้องถูกประณามในระดับสากล”

แถลงการณ์ฉบับนี้เกิดขึ้นภายหลังการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีไบเดนของสหรัฐฯ, ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส, นายกรัฐมนตรีซูนัคของสหราชอาณาจักร, นายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ แห่งเยอรมนี และนายกรัฐมนตรีจอร์เจีย โมโลนี ของอิตาลี

แถลงการณ์ของผู้นำ 5 ชาติระบุด้วยว่า จะสนับสนุนอิสราเอลในความพยายามที่จะปกป้องตนเองและประชาชนของตนจากความโหดร้ายดังกล่าว

11 ต.ค.

ประธานาธิบดีไบเดนได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล โดยทำเนียบขาวเผยแพร่เนื้อหาในแถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ จะให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง โดยจะมอบความช่วยเหลือด้านการทหารให้แก่อิสราเอลเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงเครื่องกระสุน ขีปนาวุธสำหรับระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศ “ไอรอนโดม” (Iron Dome) เรือบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยุทโธปกรณ์อื่น ๆ

ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่อิสราเอลแล้ว 3,800 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท

14 ต.ค.

รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ต่อสายคุยกับ หวาง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ก่อนปรากฏข่าวในสื่อหลายสำนักตรงกันว่า บลิงเคนขอให้จีนช่วยผลักดันอิหร่านให้หยุดสนับสนุนกลุ่มฮามาส และขอให้จีนเข้ามามีบทบาทในการยุติการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ขณะที่ หวาง อี้ เรียกร้องให้สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทสร้างสรรค์และมีความรับผิดชอบในการผลักดันให้ทั้้ง 2 ฝ่ายกลับสู่โต๊ะเจรจา และเรียกร้องให้มีการเปิดประชุมว่าด้วยสันติภาพโดยเร็วที่สุด เพื่อหาฉันทามติเรื่องการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์

รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เปิดเผยว่า จะส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอเอส ดไวท์ ดี ไอเซนฮาวเวอร์ (USS Dwight D. Eisenhower) และกองเรือติดตาม ไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพื่อสมทบกับเรือเจอรัลด์ อาร์ ฟอร์ด

16 ต.ค.

แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางเยือนอิสราเอลรอบที่ 2 เพื่อตอกย้ำแรงสนับสนุนของสหรัฐฯ ต่ออิสราเอล ทั้งนี้ในระหว่างพบปะกับ ครม. ด้านความมั่นคงของอิสราเอล ได้มีเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้น ทำให้บลิงเคนถูกพาตัวไปหลบในบังเกอร์แห่งหนึ่งเพื่อความปลอดภัยเป็นเวลา 5 นาที ตามการเปิดเผยของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ

ไบเดนให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสนิวส์ว่า หากอิสราเอลบุกยึดฉนวนกาซาอีกครั้ง มันจะถือเป็นความผิดพลาดของอิสราเอล แต่ก็เห็นว่าการกำจัดกลุ่มหัวรุนแรงนั้นเป็น “เรื่องจำเป็นที่จะต้องทำ”

เมื่อถูกถามว่า คิดว่ากลุ่มฮามาสควรถูกกำจัดอย่างสิ้นซากหรือไม่ ผู้นำสหรัฐฯ ตอบว่า “ใช่ ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้น” แต่ในขณะเดียวกัน ไบเดนมองว่า “มีความจำเป็นจะต้องมีการปกครองตนเองของชาวปาเลสไตน์ และจำเป็นต้องมีเส้นทางสู่การเป็นรัฐปาเลสไตน์”

อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่า สหรัฐฯ ไม่จำเป็นต้องส่งทหารเข้าไป เพราะอิสราเอลมีกองทัพที่ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่พร้อมจะให้การสนับสนุนทุกอย่างตามที่อิสราเอลต้องการ

17 ต.ค.

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ว่าประธานาธิบดีไบเดนมีกำหนดการเยือนอิสราเอลวันพุธ (18 ต.ค.) เพื่อ "ยืนยันความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของสหรัฐฯ กับอิสราเอล"