วันนี้(19ต.ค.66)-ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้เข้าพบผู้แทนประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อยื่นหนังสือ ขอให้ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามมาตรา 8 ของ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561 กรณีแจกเงินเงินดิจิทัล 10,000 บาท


ซึ่งนางสาวรสนา มีความเห็นว่า ตามที่รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาโดยมีนโยบายโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทออกมาเร่งด่วนให้ แก่ประชาชนทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี ทั้งที่มีนักวิชาการแถลงคัดค้านจำนวนมาก จึงเห็นว่าโครงการนี้มีปัญหามิชอบด้วยกฏหมาย และอาจเกิดความเสียหายขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ ด้วยเหตุผล 6 ประการทั้งนี้ได้แก่

 1.ผลได้ไม่คุ้มเสีย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยกำลังค่อยๆฟื้นตัวตามศักยภาพอยู่แล้วไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อเงินเฟ้อสูงขึ้นมาอีกและควรใช้เงินจำนวนประมาณ 560,000 ล้านบาท ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้าง digital infrastructure  แทนการใช้เงินเพื่อกระตุ้นอุปโภคบริโภคน่าจะเหมาะสมกว่า


2.ขัดต่อพรบ.เงินตรา หากดูจากเอกสารหาเสียงของพรรคเพื่อไทยระบุว่า”กระเป๋าเงินดิจิทัลคือเหรียญ(คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงินไม่ใช่คริปโทเคอเรนซี่” สิ่งที่โครงการนี้จะออกคือสำแดงรูปแบบทางกฎหมายเป็น”โทเคนดิจิทัล”เนื่องจากเหรียญดังกล่าวไม่ใช่สิทธิในการได้รับมาซึ่งสินค้าหรือบริการที่เฉพาะเจาะจงกับบริษัทผู้ออก แต่จะเป็นสิทธิที่เปิดกว้างขวางให้แก่ร้านค้าทั่วประเทศที่เข้ามาลงทะเบียน ซึ่งเอกชนผู้ออก คริปโปเคอร์เรนซี่ ที่มีลักษณะ เป็น Bath stable coin จะต้องขออนุญาตจากรมว.คลังตามนัยยะ มาตรา9   3.เพิ่มความสิ้นเปลือง แก่ประเทศไม่จำเป็นเนื่องจากมีผู้ให้บริการดิจิตอล Wallet และโมบายแบงค์กิ้งหลายแอพอยู่แล้วเช่น เป๋าตัง,ทรูมันนี่, K PLUS ,SCB EASY เป็นต้น ซึ่งสามารถรองรับความต้องการของรัฐบาลได้


4.หลีกเลี่ยงหลักการใช้เงินแผ่นดิน ตนมีความเห็นว่าเงินที่จะใช้ในโครงการนี้เข้าข่ายเป็นเงินแผ่นดิน ซึ่งการใช้จ่ายจะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 140 โดยรัฐบาลต้องเสนอในกระบวนการงบประมาณต่อรัฐสภาแต่ในเอกสารที่พรรคเพื่อไทยชี้แจงต่อกกต. นั้นระบุแหล่งเงินไว้ว่าจะมาจาก ประมาณการรายได้รัฐที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 ภาษีที่ได้จากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย การบริหารจัดการงบประมาณ การบริหารจัดการงบประมาณด้านสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน ดังนั้นจึงอาจเป็นการวางแผนใช้งบประมาณเดิม โดยรัฐบาลจะไม่เสนอโครงการนี้ในกระบวนการงบประมาณต่อรัฐสภาเสียก่อน อันอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ


5.ซุกหนี้สาธารณะ รัฐบาลจะใช้ให้ธนาคารออมสินกู้หนี้ไปก่อน แล้วรัฐบาลจึงค่อยจัดเงินจากงบประมาณชดใช้ในภายหลัง แต่ตนเห็นว่าการดำเนินการเช่นนี้จะมีลักษณะเป็นการ ซุกหนี้ ที่ไม่โปร่งใสและอาจจะอยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของธนาคารออมสิน

และ6.ขัดกับ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 9 วรรค 3 จากเหตุผลทั้ง 6 ข้อที่กล่าวไป ส่งผลให้โครงการดังกล่าวน่าจะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับปีพุทธศักราช 2560 และ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 รวมทั้งพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
ทั้งก่อให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจและการเงินการคลังของรัฐอย่างร้ายแรง ตนจึงได้มาร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้สั่งการให้ สตง. ตรวจสอบเป็นการเร่งด่วน เมื่อผู้ว่า สตง. เสนอผลการตรวจสอบแล้ว ก็ขอให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินจัดให้มีการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อระงับหรือยับยั้งการดำเนินการดังกล่าวตามมาตรา 8 แห่งพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2561