นาย จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวในรายการ ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ต้องรอด" กรณีแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อ 16 ต.ค. 2566 ระบุว่า.. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ บอกไม่ได้ปลุกระดมให้ออกมาต้านคนคัดค้านการแจกเงิน แม้ฝ่ายคัดค้านเงินดิจิทัลหยุดความต้องทำนโยบายแจกของพรรคเพื่อไทยไม่ได้ แต่ความจริงแล้ว คงมีคุกและกรรมการ 9 คนในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และศาล รธน.เท่านั้นที่จะหยุดได้ 

"เมื่อจะแจกเงินดิจิทัลให้เป็นไปตามหาเสียงให้ได้ ก็เอาสิ คุณ (นายกฯ) ไม่ต้องฟัง ผู้ว่า ธปท.เลย อีกอย่าง นายกฯ ควรคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้มาแจก 5.6 แสนล้านบาทด้วยว่า จะเสียดอกเบี้ยเท่าไรต่อปี สิ่งสำคัญมูลค่าจ่ายค่าดอกเบี้ยถ้าหมุนไปมาแล้วจะเกินกว่าเงินแจกที่ประชาชนได้รับอีกด้วย นั่นคือความเสียหาย คุณต้องกล้าบอกความจริง"

นายจตุพร กล่าวว่า ยังมีข้อสงสัยกับการสร้างบล็อกเชนใหม่ทำเพื่ออะไร ราคาจ้างทำเท่าไร การแลกเงินไปกลับใครได้เปอร์เซ็นจำนวนเท่าไร แล้วคุ้มหรือไม่กับการลงทุนในเวลา 6 เดือน แต่หลังจากนั้นเงินดิจิทัลยังอยู่ในตลาดไทย ที่สำคัญอยู่ในมือใคร
"ร่องรอยเหล่านี้เต็มไปด้วยข้อสงสัย ซึ่งคนละเรื่องกับการคุ้มหรือไม่ อีกทั้งบอกว่าหมุน 6 รอบแล้วใครหมุนและใครได้ เหมือนกับโครงการจำนำข้าว แม้ประชาชนได้เงินจริง แต่ที่ติดคุกเพราะมีคนได้มากกว่า มาคราวนี้ก็เช่นเดียวกัน"

อีกทั้งกล่าวว่า นโยบายนี้เมื่อพรรคเพื่อไทยนำออกมาหาเสียงเลือกตั้ง คงได้คิด ศึกษามาจนจบกระบวนการแล้ว ทั้งค่ารถไฟฟ้า 20 บ.ตลอดสาย แล้ววันนี้เป็นอย่างไร ทำไมไม่กล้าตอบและชี้แจงความจริงออกมาให้สังคมได้รับรู้จนกระจ่างแจ้งว่า เอาเงินมาจากไหน 


นายจตุพร กล่าวว่า รมต.คลังย้ำเงินแจกดิจิทัลจะมาจากการเกลี่ยงบประมาณ เงินยืมรัฐวิสาหกิจ แต่ยังไม่กู้เงิน อย่างไรก็ตาม การยืมเงินคงเอามาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่รัฐวิสาหกิจไปซื้อหุ้นกองทุนต่างๆ ในตลาดหุ้นไทย สิ่งสำคัญหากหน่วยงานใดล้มลงจะลากดึงกันให้ล้มตามไปด้วย


ส่วนการเกลี่ยงบประมาณนั้น จะเอาเงินมาจากส่วนไหน อีกทั้งงบประมาณของไทยมาจากการกู้ เพราะไทยทำงบแบบขาดดุลมาต่อเนื่อง 9 ปี ดังนั้น ถ้าลดงบประมาณได้จริงแล้ว มีคำถามว่า ทำไมตั้งรายจ่ายของงบสูง แล้วทำงบขาดดุุลกันทำไม และเป็นหนี้งบประมาณทำไม สิ่งสำคัญฐานของงบประมาณไทยมาจากเงินกู้ทั้งนั้น ถ้าเกลี่ยได้ 2 แสนล้านก็เท่ากับเงินกู้ผ่านงบรายจ่ายของประเทศนั่นเอง ดังนั้น ไม่ว่าจะอธิบายมุมใดก็เป็นการล็อกอยู่ในตัวทั้งสิ้น 

“ปัญหามีว่า เมื่ออยากแจกเงิน ทำไมต้องเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ทำไมต้องทำบล็อกเชนใหม่ ค่าแลกเป็นเงินบาทใครได้ประโยชน์ ซึ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยข้อสงสัยหมด ถ้าให้เงินสดคงหมุนได้หลายรอบ แต่เงินดิจอทัลให้ใช้หมด 6 เดือนจะหมุนอย่างไร”


พร้อมเชื่อว่า การแจกเงินดูเหมือนเพื่อไทยพยายามตีกันเชียง ทำเป็นเสียงแข็ง แต่ไม่ได้สู้เพื่อจะแจกจริง แต่ต้องการแต่งตัวการพูดให้ดูดีเท่านั้น ดังนั้น ถ้าแน่จริงเงินเดือนนายกฯ และ สส. กับ สว. รวมถึงข้าราชการให้จ่ายเงินเดือนเป็นดิจิทัลวอลเล็ตก่อน เพื่อดูความสำเร็จในการหมุนกระตุ้นเศรษฐกิจ

"ถ้าเอาจริง ประกาศคิดใหญ่ทำเป็นมาแล้ว ไม่ต้องรออะไรเลย ทำกันปังๆ ไปเลย แต่ที่มีการทักท้วง ไม่ได้ต้าน ซึ่งหยุดคุณไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าจะทำก็ทำเลย รอถึง 1 ก.พ. 67 ทำไมกัน ถ้ารีบเร่งจะรอถึง ก.พ.ทำไม ดังนั้น จึงเป็นการพูดไม่สมเหตุสมผล แต่กลับซ่อนเหตุผลของเพื่อไทยเอาไว้"

ส่วนค่ารถไฟฟ้า 20 บ.ตลอดสาย นายจตุพร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยหาเสียงจะทำทุกสายทันที แต่กลับทำได้ขณะนี้ 2 สาย ถือเป็นการตระบัดสัตย์อีกอย่าง รวมทั้งแสดงถึงการไม่ได้ศึกษา เอาแต่พูดทางการเมืองเพื่อหาเสียงเท่านั้น 

“เวลาหาเสียงบอกทำทันที แล้ว รมว.คมนาคม (สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) มาบอกอีกอย่างว่า สายที่เหลือจะทำในอีก 2 ปี อย่างนี้เป็นการทำทันทีที่ไหน พูดแบบนี้เข้าข่ายหลอก ผมไม่ได้อคติ แต่เพื่อไทยโฆษณาคิดใหญ่ ทำเป็น บอกศึกษามาแล้ว แต่มาทำ 2 สาย 20 บ.แบบนี้มันไม่ใช่ เพราะไม่ตรงปก กลับมาระริกระรี้ชูแบงก์ 20 บ. เป็นการแถทางการเมือง แล้วที่เหลือสายอื่นละ”

นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งสำคัญของพรรคเพื่อไทยคือการดิ้น และเป็นการพูดจริงส่วนเดียว แต่เนื้อหาส่วนใหญ่กลับโกหก โดยเฉพาะการให้เพียง 2 สายค่าโดยสารสายละ 20 บ. ไม่ให้หมดทุกสาย เป็นการสอนให้เห็นแก่ตัว สร้างความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม และไม่คิดถึงความยากลำบากของประชาชนทั่วไป

“แล้วสายสีเขียว สีน้ำเงิน จะเอาอย่างไร จะทำหรือไม่ ประสานงาน 20 บ.ตลอดสายหรือยัง แต่กลับมาแถทำแค่สายแดงกับม่วงที่เป็นของรัฐและขาดทุนอยู่ทุกวัน”นายจตุพร ทักท้วงและถาม

ที่มา: ประเทศไทยต้องมาก่อน