เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 14 ต.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังบ้านเลขที่ 35 ม.5 บ้านโนนชาด  ต.นาหนองทุ่ม  อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น เพื่อพบกับ นางเจนจิรา  พรหมหล้า  อายุ 38 ปี ซึ่งเป็นภรรยาของนายสุพล  นิชำนาญ อายุ 39 ปี แรงงานไทย ในอิสราเอล ซึ่งเข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนเพื่อสะท้อนถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบหลังสามี ได้หนีตายเอาตัวรอดไปอยู่ที่สนามบินในอิสราเอล เพื่อจะเดินทางกลับบ้านที่ประเทศไทย แต่ไม่มีเงินติดตัว จึงเกิดปัญหาในการซื้อตั๋วเครื่องบิน  


นางเจนจิรา    กล่าวว่า ยอมรับว่าในช่วงแรกที่เกิดเหตุการณ์ สามีเดือดร้อนอย่างหนัก เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย จะไม่ได้กลับบ้าน  เนื่องจากสามีเดินทางไปทำงานที่ประเทศอิสราเอล เมื่อเดือน ม.ค. 2566 ในพื้นที่การเกษตร ห่างจากฉนวนกาซ่า ประมาณ 20 กม. เมื่อเกิดเหตุรุนแรงขึ้น สามีต้องหลบซ่อนในไร่มะเขือเทศ จนมีทหารเข้ามาช่วยเหลือ  จากนั้น นายจ้างก็พาออกจากพื้นที่ มุ่งหน้าไปทางภาคเหนือ และส่งเข้าทำงานในสวนเกษตรอีกรอบ  แต่มีเสียงระเบิดการสู้รบ เข้าสู่พื้นที่ทางภาคเหนือ สามี จึงไม่มีความมั่นใจใสนความปลอดภัย และกลัวว่าจะเสียชีวิต จึงอยากกลับบ้าน



“ สามีทำงานแห่งใหม่เพียง 2 วันนายจ้างไม่จ่ายค่าแรง จึงพูดคุยกับเพื่อนคนงานรวม 6 คน ชวนกันเดินทางกลับไทย  เพราะตามกำหนดการที่ลงชื่อไว้นั้น ทางประเทศไทยมีกำหนดบินไปรับในวันที่ 18 ต.ค. 2566 สามี เห็นว่าสถานการณ์ความรุนแรงใกล้ตัวเข้ามาทุกวัน หากรอถึงวันที่ 18 ต.ค.อาจจะไม่มีชีวิตรอด  จึงพากันเดินทางออกมาด้วยรถแท็กซี่มาที่สนามบิน แล้วติดต่อมาทางบ้าน ให้พี่หากู้ยืมเงินจำนวน 40,000 บาท โอนเข้าบัญชีให้ แล้วสามีก็แลกเงินกับเพื่อน ใช้ซื้อตั๋วเครื่องบิน บินกลับมาที่ประเทศไทย”

นางเจนจิรา กล่าวต่ออีกว่า สามีไปทำงานโรงงานบรรจุมันเทศที่ประเทศอิสราเอล  ถึงปัจจุบันก็ประมาณ 8 เดือนกว่า ส่งเงินกลับมาใช้หนี้สินทุกเดือน ส่วนตนอยู่ที่บ้านกับลูก 4 คน คนโตผู้หญิง อายุ 15 ปี คนที่สองเป็นลูกฝาแฝดหญิง อายุ 3 ปี และคนเล็กลูกชายวัย 7 เดือน คลอดหลังจากที่พ่อไปทำงาน ยังไม่เคยเจอหน้ากันเลย โดยช่วงที่สามีทำงานอยู่และวันที่เกิดเหตุรุนแรง สามีก็ติดต่อมาหาและบอกว่า มีเสียงปืน เสียงระเบิดอยู่ไม่ห่าง  ห้ามติดต่อกันอีก เพราะทางอิสราเอลจะตัดสัญญาณการติดต่อ เมื่อติดต่อได้ สามีก็ติดต่อมาและย้ายไปอยู่ทางภาคเหนือแล้ว จนถึงวันเดินทางไปสนามบิน สามีก็ติดต่อมา ให้ยืมเงินซื้อตั๋วเครื่องบิน เมื่อซื้อตั๋วได้ และขึ้นเครื่องบินแล้ว สามีก็ถ่ายรูปส่งมาให้ 

 

"เมื่อสามีมาถึงก็โทรศัพท์มาบอกว่า ถึงประเทศไทยแล้ว  จึงบอกสามีว่า ถ้าไม่มีคนไปรับ ให้ซื้อตั๋วรถทัวร์ สายกรุงเทพฯ-ชุมแพ กลับมาบ้าน  และสามีน่าจะซื้อตั๋วในค่ำวันนี้  เมื่อสามีกลับถึงบ้าน พักผ่อนจนกำลังใจดี สุขภาพดี ก็จะทำพิธีบายศรีสู่ขวัญ ผูกข้อมือให้ รวมทั้งไปแก้บนที่ศาลปู่บ้าน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่สามีและครอบครัว จากนั้นค่อยหารือกันว่าจะเดินทางไปทำงานที่ประเทศใด แต่อิสราเอล จะไม่ให้สามีไปอีกเด็ดขาด  เพราะถ้าไม่มีงานทำ ก็จะไม่มีเงินใช้หนี้ เพราะไปทำงานยังไม่ถึงปี หนี้ก็ยังไม่หมด ต้องมาประสบเหตุการณ์รุนแรง จึงต้องกลับมาก่อน"