ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ สัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทพลิกแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ที่ 36.09 บาทต่อดอลลาร์ฯ คาดสัปดาห์หน้า 35.70-36.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่หุ้นไทย 1,420-1,470 จุด จับตาสถานการณ์ในอิสราเอล-สัญญาณเงินทุนต่างชาติ-ผลประกอบการไตรมาส 3/66 ของบริษัทจดทะเบียนไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยสรุปความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทพลิกแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 2 สัปดาห์ที่ 36.09 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงช่วงสั้นๆ ต้นสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลต่อผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้นหลังมีสัญญาณตึงเครียดในอิสราเอล อย่างไรก็ดีเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่า โดยได้รับอานิสงส์จากการพุ่งขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกและแรงซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ทยอยอ่อนค่าลงตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังเจ้าหน้าที่เฟดบางท่านออกมาให้ความเห็นว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ในช่วงที่ผ่านมา อาจลดความจำเป็นของการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด นอกจากนี้บันทึกการประชุมเฟดล่าสุดยังสะท้อนว่า เจ้าหน้าที่เฟดมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องความจำเป็นที่เฟดจะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกในระยะข้างหน้า
สัปดาห์ระหว่างวันที่ 16-20 ต.ค.2566 KBank คาดกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 35.70-36.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางสกุลเงินเอเชีย สถานการณ์ในอิสราเอล ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ยอดค้าปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย. ของสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย. ของยูโรโซน ตลอดจนการประกาศอัตราดอกเบี้ย LPR และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/66 ของจีน
ขณะที่ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย ดัชนีหุ้นไทยย่อตัวลงช่วงปลายสัปดาห์ แต่สามารถปิดบวกเป็นครั้งแรกในรอบ 6 สัปดาห์ ทั้งนี้หุ้นไทยปรับตัวลงช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากไร้ปัจจัยใหม่ๆเข้ามาหนุน ประกอบกับตลาดมีความกังวลต่อเหตุการณ์ความไม่สงบในอิสราเอล อย่างไรก็ดีหุ้นไทยฟื้นตัวในเวลาต่อมาตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลบางส่วนต่อทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ หลังเจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นว่า อาจไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก หุ้นไทยกลับมาย่อตัวลงอีกครั้ง ซึ่งสวนทางกับตลาดหุ้นในภูมิภาค เนื่องจากมีแรงขายก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของตลาดในประเทศ
สัปดาห์ที่ 16-20 ต.ค.2566 KSecurities คาดแนวรับที่ 1,440 และ 1,420 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,460 และ 1,470 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ผลประกอบการไตรมาส 3/66 ของบจ.ไทย ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย. ของสหรัฐฯ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ย. ของยูโรโซนและญี่ปุ่น ตลอดจนตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/66 และอัตราดอกเบี้ย LPR เดือนต.ค. ของจีน