น้ำพระทัยเปี่ยมล้นที่ไม่เลือนหายในหัวใจคนไทย “ในหลวงรัชกาลที่9” ผู้ทรง “สร้างคุณภาพชีวิต-อนาคต”
เวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้ง ในวันที่คนไทยทั่วโลกต่างต้องหลั่งน้ำตา กับการสูญเสียคนที่รัก ที่ไม่มีวันหวนกลับ ในการ “สวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร" (รัชกาลที่ 9) ผู้ซึ่งเปรียบเสมือน "พ่อของแผ่นดิน" ซึ่งตรงกับวันที่ 13 ตุลาคม แม้การจากไปของพระองค์จะจากไปแต่เพียงพระวรกาย แต่สิ่งที่พระองค์ทรงได้กระทำไว้ให้กับคนไทยทุกคน ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ และยังคงยึดเป็นแนวทางในการปฏิบัติตน อย่างที่พระองค์ทรงมอบไว้เป็นแนวทาง
ตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์ ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้อยู่ดี กินดี อาทิ “แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นหู เพราะเคยได้เรียนรู้ และเคยได้ยินกันบ่อยๆ แต่กลับมีน้อยคนที่จะเข้าใจหลักปรัชญา และการใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามแบบอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริไว้เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางสายกลาง ความไม่ประมาท ไม่ฟุ่มเฟือย คำนึงถึงความพอประมาณความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ตลอดจนการใช้ความรู้และคุณธรรมเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต โดยมีใจความสำคัญคือ สติ ปัญญา และความเพียร ซึ่งเป็นบันไดสู่ความสุขในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง
เศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ : เศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ เป็นแนวทางในการพัฒนาที่นำไปสู่ความสามารถในการพึ่งตนเอง ในระดับต่างๆอย่างเป็นขั้นตอน โดยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับความผันแปรของธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยต่างๆ โดยอาศัยความพอประมาณและความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี มีความรู้ ความเพียรและความอดทน สติและปัญญา การช่วยเหลือซึ่งกันและกันและความสามัคคี
ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ : มีอยู่ 2 แบบคือ แบบพื้นฐานกับแบบก้าวหน้า ความพอเพียงในระดับบุคคลและครอบครัวโดยเฉพาะเกษตรกร เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐานเทียบได้กับทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1 ที่มุ่งแก้ปัญหาของเกษตรกรที่อยู่ห่างไกลแหล่งน้ำ ต้องพึ่งน้ำฝนและประสบความเสี่ยงจากการที่น้ำไม่พอเพียง แม้กระทั่งสำหรับการปลูกข้าวเพื่อบริโภค และมีข้อสมมติว่า มีที่ดินพอเพียงในการขุดบ่อเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวจากการแก้ปัญหาความเสี่ยงเรื่องน้ำ จะทำให้เกษตรกรสามารถมีข้าวเพื่อการบริโภคยังชีพในระดับหนึ่งได้ และใช้ที่ดินส่วนอื่นๆ สนองความต้องการพื้นฐานของครอบครัว รวมทั้งขายในส่วนที่เหลือเพื่อมีรายได้ที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ไม่สามารถผลิตเองได้ ทั้งหมดนี้เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันในตัวให้เกิดขึ้นในระดับครอบครัว
อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่ง ในทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1 ก็จำเป็นที่เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากชุมชนราชการ มูลนิธิและภาคเอกชน ตามความเหมาะสม ความพอเพียงในระดับชุมชนและระดับองค์กร เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้าซึ่งครอบคลุมทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 2 เป็นเรื่องของการสนับสนุนให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ หรือการที่ธุรกิจต่างๆ รวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายวิสาหกิจ กล่าวคือเมื่อสมาชิกในแต่ละครอบครัวหรือองค์กรต่าง ๆมีความพอเพียงขั้นพื้นฐานเป็นเบื้องต้นแล้วก็จะรวมกลุ่มกันเพื่อร่วมมือกันสร้างประโยชน์ให้แก่กลุ่มและส่วนรวมบนพื้นฐานของการไม่เบียดเบียนกัน การแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามกำลังและความสามารถของตนซึ่งจะสามารถทำให้ชุมชนโดยรวมหรือเครือข่ายวิสาหกิจนั้น ๆเกิดความพอเพียงในวิถีปฏิบัติอย่างแท้จริง
อีกสิ่งหนึ่งที่พระองค์ทรงมีความสามารถที่เกี่ยวกับการสื่อสาร โดยเปรียบเสมือน"พระบิดาแห่งวงการสื่อสารไทย" ซึ่งอย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่าทุกพระราชกรณียกิจที่ พระองค์ได้ทรงทำนั้นไม่ได้ทำเพียงเพื่อตัวของพระองค์เอง แต่พระองค์ทรงทำเพื่อพสกนิกรชาวไทยของพระองค์ ให้มีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วยอัฉริยะภาพของพระองค์ได้เล็งเห็นความสำคัญในการใช้เครื่องมือสื่อสารและเทคโนโลยี
1.วิทยุสื่อสาร มีการพัฒนาด้านระบบวิทยุสื่อสาร ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พระองค์ทรงใช้เครื่องมือสื่อสารพกติดพระองค์ เพื่อประกอบพระราชกรณียกิจต่าง ๆ และรับสั่งผ่านทางวิทยุถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติการฝนเทียมในระยะแรก ได้ประสบปัญหาเรื่องสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง โดยไม่ทราบล่วงหน้า การที่ยังไม่มีการติดต่อสื่อสาร ระหว่างผู้ปฏิบัติการด้วยกัน ส่งผลให้การปฏิบัติงานไม่ได้ผลเท่าที่ควร และเมื่อพระองค์ทรงทราบถึงปัญหาการขาดการติดต่อสื่อสารที่ดี จึงโปรดเกล้าฯ ให้ติดตั้งวิทยุให้แก่หน่วยปฏิบัติการฝนเทียม ทั้งทางอากาศและทางภาคพื้นดิน
2.วิทยุกระจายเสียง ในปี พ.ศ.2495 พระองค์ได้ทรงตั้งสถานีวิทยุ อ.ส.ขึ้นที่พระราชวังสวนดุสิต และชื่อสถานีวิทยุดังกล่าวได้ทรงนำมาจากอักษรย่อของพระที่นั่งอัมพรสถานซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ออกอากาศครั้งแรก ต่อมาจึงย้ายสถานีวิทยุ อ.ส.เข้าไปตั้งในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่อเปิดโอกาสให้พสกนิกรมีช่องทางในการติดต่อกับพระองค์ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนตามพิธีการเหมือนในสมัยก่อน ทรงใช้สถานีวิทยุเพื่อเป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์ติดต่อข่าวสารกับประชาชนและเป็นสื่อสัมพันธ์ระหว่างพระองค์และประชาราษฎร์ เมื่อเกิดวาตภัยที่แหลมตะลุมพุกในปี พ.ศ.2505 โดยมีพระราชดำริให้ใช้สถานีวิทยุ อ.ส.เพื่อทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์กรรมจนเป็นบ่อเกิดของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์
3.ดาวเทียม ดาวเทียมไทยคม คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้การสื่อสารโทรคมนาคมของไทย ก้าวสู่ยุคแห่งความล้ำหน้า มีการนำดาวเทียมไทยคม เข้าไปใช้ในกิจการด้านการเรียนการสอน เป็นการสนองตอบความต้องการของประชาชน และเป็นการปรับปรุงในเรื่องของการศึกษาให้สอดคล้องกับยุคสมัย กล่าวได้ว่า พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นอเนกอนันต์ต่อประเทศชาติ ที่ได้มีพระราชดำริ ให้มีการพัฒนางานทางระบบวิทยุสื่อสารขึ้นในประเทศอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เพราะสังคมปัจจุบันนั้นการสื่อสารก็เปรียบเสมือนกับระบบประสาทของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นจึงนับได้ว่า พระองค์ท่านนั้นมีสายพระเนตรที่ยาวไกล ทรงเห็นบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการสื่อสาร
4.ตรวจสภาวะอากาศผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2538 ได้เกิดเหตุไต้ฝุ่นแองเจลา (Angela) ทำความเสียหายให้กับประเทศฟิลิปปินส์ และคาดว่าจะเข้าสู่ประเทศไทย ในเวลาต่อมาทางกรมอุตุนิยมวิทยาได้แจ้งเตือนประชาชนชาวไทยให้เตรียมระวังอันตรายที่เกิดขึ้น ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2549 วันที่พระองค์กำลังเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง ทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งเดินสายระบบออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้ติดตามความเคลื่อนไหวนี้อยู่ตลอดเวลาได้พระราชทานความเห็นว่าไม่ควรตระหนกแต่อย่างใดเนื่องจากไต้ฝุ่นได้อ่อนกำลังลงเมื่อเคลื่อนที่เข้าสู่ประเทศเวียดนาม และได้แปรสภาพเป็นความกดอากาศขนาดย่อมเท่านั้น
5.เรื่องของการยกระดับการเดินทาง โดยนับเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทยได้จารึกถึงพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทยที่สนพระราชหฤทัยระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ คือ รถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อแก้ปัญหาจราจรอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด"การเดินรถโครงการ “รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (หัวลำโพง-บางซื่อ)" ที่สถานีรถไฟฟ้าหัวลำโพง ซึ่ง ณ สถานที่เดียวกัน เมื่อ 108 ปี ก่อนหน้านี้คือ เมื่อปี พ.ศ.2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จฯทรงประกอบพิธีเปิดการเดินรถไฟหลวงสายแรกของประเทศไทย ระหว่างกรุงเทพฯ-อยุธยา ณ สถานีหัวลำโพง เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงประทับรถไฟฟ้าพระที่นั่งขบวนที่ 1 หมายเลขตู้รถไฟฟ้าพระที่นั่ง 1014 โดยประทับยังที่นั่งผู้โดยสารปกติตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าหัวลำโพงไปยังสถานีรถไฟฟ้าบางซื่อและกลับมายังศูนย์ซ่อมบำรุงฯ รวมระยะทาง 29 กิโลเมตรและ ณ ที่ศูนย์ซ่อมบำรุงฯพระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยหลายเรื่อง เช่นการคืนผิวหลังการก่อสร้างเสร็จ สภาพถนนดีกว่าเดิมหรือไม่ การก่อสร้างที่สถานีสีลมที่ต้องตัดตอม่อสะพานข้ามทางแยกแล้วสร้างตอม่อใหม่บนหลังคาสถานี รวมถึงการแก้ปัญหาจราจร เนื่องจากระยะทางหัวลำโพง-บางซื่อเป็นระยะทางที่สั้นเพียง 20 กม.เท่านั้น นอกจากนี้พระองค์ทรงซักถามถึงขั้นตอนการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการเดินรถไฟฟ้าด้วยความสนพระราชหฤทัย และราคาค่าโดยสารที่จะต้องไม่ทำให้คนไทยเดือดร้อน
6."โครงการพระราชดำริฝนหลวง" เป็นโครงการที่ก่อกำเนิดจากพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงห่วงใยในความทุกข์ยากของพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดาร ซึ่งต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่ออุปโภคบริโภค และใช้ในการเกษตรกรรม อันเนื่องมาจากภาวะแห้งแล้งที่มีสาเหตุจากความผันแปร และคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติ คือ ฤดูฝนเริ่มต้นล่าช้าเกินไป หรือหมดเร็วกว่าปกติ หรือฝนทิ้งช่วงยาวในช่วงฤดูฝน สร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎรในทุกภาคของประเทศ ส่งผลถึงความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมของชาติคิดเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี
ทั้งนี้ระหว่างทางที่เคยเสด็จพระราชดำเนิน ทั้งภาคพื้นดิน และทางอากาศยานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสังเกตเห็นว่ามีเมฆปริมาณมากปกคลุมท้องฟ้า แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้ เป็นเหตุให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงระยะยาวทั้ง ๆที่เป็นช่วงฤดูฝน ทรงคิดคำนึงว่า น่าจะมี "มาตรการทางวิทยาศาสตร์" ที่จะช่วยให้เมฆเหล่านั้นก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้ ทรงเชื่อมั่นว่า ด้วยลักษณะของกาลอากาศ ภูมิอากาศ และภูมิประเทศของประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคเขตร้อน และอยู่ในอิทธิพลของฤดูมรสุมของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นฤดูฝน และเป็นฤดูเพาะปลูกประจำปีของประเทศไทย จะสามารถดัดแปรสภาพอากาศ ให้เกิดเป็นฝนตกได้ พระองค์ทรงศึกษาจนทรงมั่นพระทัย ก่อนพระราชทานแนวคิดนี้แก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้เชี่ยวชาญในการวิจัยประดิษฐ์ทางด้านเกษตรวิศวกรรมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในขณะนั้น และในปีถัดมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้หาลู่ทางที่จะทำให้เกิดการทดลองปฏิบัติการบนท้องฟ้า กระทั่งในปี พ.ศ.2512 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งหน่วยบินปราบศัตรูพืชกรมการข้าว เพื่อให้การสนับสนุนในการสนองพระราชประสงค์ โดยในปีเดียวกันนั้นเอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ทำการทดลองปฏิบัติการจริงในท้องฟ้าเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1-2 กรกฎาคม พ.ศ.2512 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่งตั้งให้ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล เป็นผู้อำนวยการโครงการและหัวหน้าคณะปฏิบัติการทดลองคนแรกและเลือกพื้นที่วนอุทยานเขาใหญ่เป็นพื้นที่ทดลองแห่งแรก ต่อมาได้มีปฏิบัติการโดยทดลองหยอดก้อนน้ำแข็งแห้ง ขนาดไม่เกิน 1 ลูกบาศก์นิ้วเข้าไปในยอดเมฆสูงไม่เกิน 10,000 ฟุตที่ลอยกระจัดกระจายอยู่เหนือพื้นที่ทดลองในขณะนั้น ทำให้กลุ่มเมฆทดลองเหล่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จนเกิดการกลั่นรวมตัวกันหนาแน่น และก่อยอดสูงขึ้นเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว และจากการติดตามผลโดยการสำรวจทางภาคพื้นดิน ก็ได้รับรายงานยืนยันจากราษฎรว่า เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่บริเวณวนอุทยานเขาใหญ่ในที่สุด การทดลองดังกล่าวจึงเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่บ่งชี้ให้เห็นว่า การบังคับเมฆให้เกิดฝนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และความสำเร็จดังกล่าว ยังส่งผลให้มีการพัฒนา ปรับปรุง และต่อยอดโครงการฝนหลวงมาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเศษเสี่ยวหนึ่งที่พระองค์ได้ทรงพระราชทานให้ไว้กับพสกนิกรของพระองค์ให้ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งถึงแม้พระองค์จะทรงจากไป แต่พระองค์ก็ยังสถิตในดวงใจของคนไทยทุกคน