ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“ประวัติศาสตร์คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง  ซึ่งไม่อาจวาดระบายหรือจำลองแบบขึ้นมาได้อีกแล้ว..นอกจากจะเสแสร้ง แต่งเติม หรือบิดเบือน โดยสร้างความอัปลักษณ์ทางจิตวิญญาณขึ้นมา..อย่างไม่ละอาย..

50 ปี ที่ผ่านมา..ความไม่รู้เหนือรู้ใต้..ความจอมปลอม..การครอบงำมโนสำนึกอย่างหลอกลวงอย่างหน้าด้านๆ ทั้งด้วยข่าวสาร ตำรับตำรา สถาบันทางการศึกษา ครูผู้สอน รัฐบาลในแต่ละจังหวะโอกาสที่จะได้อำนาจ..ความไม่ใส่ใจแยแสในความจริงที่เป็นจริงกลายเป็นห้วงเวลาอุบาทว์ที่กลืนกินมโนทัศน์ที่ดีงามจากความบริสุทธิ์จนกลายเป็นความหม่นมัวที่มืดดำ..มันคือนัยแห่งความทรงจำที่กรีดเฉือนดวงใจให้ต้องทุรนทุรายอยู่เสมอ..เมื่อระลึกถึงเหตุการณ์อัปยศนี้ขึ้นมา..

กึ่งศตวรรษล่วงผ่านแล้ว..ผมยังมีชีวิตอยู่ที่จะรองรับความพ่ายแพ้ที่พร่ามัวนี้..โดยไม่ยอมจำนน..จากวัยหนุ่มที่แกร่งกล้า..สู่วัยชราที่แห้งกร้านและผุโทรม..ความจริงดั่งนี้แฝงฝังอยู่กับใจ..งันเงียบ.. ดั่งฝันร้าย..มันคือหายนะเหนือหายนะที่มิอาจลบเลือนและลืมเลือน..แม้ขณะใด..!!!"

วันเวลาได้ผ่านพ้นไปตามวิถีแห่งโลก “กระแสแห่งความรู้สึกในจิตสำนึก” ของผมต่อวันเวลาที่ผ่านมานั้น..ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หดหู่..เสียใจ และ..ผิดหวัง มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นและเป็นไปในช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างมีเงื่อนงำอันเจ็บปวด “ลึกลับ..เหลือเชื่อ”..แต่ก็ปราศจากความกระตือรือร้นที่จะแก้ไข ..สิ่งที่เกิดขึ้นในลักษณะดังกล่าวนี้ถือเป็น.. “หายนะ” แห่งศรัทธาที่มีต่อความเชื่อมั่นอันศักดิ์สิทธิ์ในสังคมแห่งแผ่นดินไทย..

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประหนึ่ง “ความลับที่เงียบงัน” และ..ไร้คำตอบ...ด้วยทรรศนะส่วนตัวของผม..ผมรู้ตัวดีว่า..ผมเป็นเหมือนคนที่มองโลกในแง่ร้าย...ผมถือว่าในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา..เป็นช่วงที่เกียรติภูมิของความเป็นคนไทยถูกทำร้ายและทำลายลงมากที่สุดโดยเฉพาะอย่างในขวบปีนี้..ที่สังคมถูกห่มคลุมและขึงพืดด้วยความอัปยศ..นับแต่เหตุการณ์สำคัญในการเปลี่ยนแปรสังคมเมื่อเดือน “ตุลาคม ปี 2516” เป็นต้นมา..

ในครั้งนั้น..ดูเหมือนว่าแรงปรารถนาของผู้ต้องการ..การเปลี่ยนแปลงจะมุ่งไปที่การขจัดความอยุติธรรม ในสังคมเป็นหลักใหญ่..และ “เจตนารมณ์” ของผู้ต้องการความเปลี่ยนแปลง ก็สัมฤทธิผล โดยการขจัด...ความอยุติธรรม การฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยกลุ่มผู้นำประเทศในขณะนั้น..ให้สูญสิ้นไปได้.. “ความไม่จริงใจและสัตย์ซื่อ” ของผู้บริหารประเทศในหลายระดับ..ถูกกระชากหน้ากากให้เปิดเผยออกมา..จนดูเหมือนว่า..จะไม่เป็น หรือจะไม่มี “ความลับแห่งความลับ” ได้อีกต่อไป..

วันนั้นกับวันนี้..เป็นระยะเวลาที่ห่างไกลกันเต็มทีแล้ว..มันมากยิ่งขึ้นทุกขณะ..กงล้อแห่งประวัติศาสตร์ที่ก้าวหมุนไปข้างหน้า..ดูเหมือนจะย้อนกลับมาสู่ความเลวร้ายเช่นนั้นกันแรกครั้ง..ภายหลังความเลวร้ายอันขมขื่นและอัปยศเมื่อครั้งกระโน้น ผู้คนส่วนใหญ่ในแผ่นดินไทยต่างหวังจะพบความดีงามอันเป็นนิรันดร์..แต่ในที่สุด “มนุษย์ก็คือมนุษย์”..ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม..หากเพียงได้ลิ้มลองและสัมผัสกับรสชาติของ “อำนาจ” ..แม้เพียงสักครั้ง..พวกเขาก็จะพากันชื่นชมและหลงใหล..กับมันอย่างลืมตัว..

ปฏิกิริยาของมนุษย์ในเชิงล่มสลาย เพราะหลงใหลในอำนาจ(Power Corrupted)นี้..ถูกยกให้เป็นแก่นสารสำคัญของปรัชญาแห่งโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่..มาตั้งแต่ยุคดั้งเดิมของกรีก.. “ผู้รับผิดชอบ” ต่อความเป็นประเทศชาติ ณ ขณะนี้..หรือที่เพิ่งสูญสิ้นอำนาจไป...ที่บางคนเคยเป็นผู้เรียกร้องถึงความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับสังคมเมื่อครั้งกระโน้น..กำลังสำลักอยู่กับความหอมหวานของอำนาจอย่างน่าสงสารและเวทนาระคนกัน..มีกฎหมายหลายๆฉบับที่ถูกตีความและแปลความเข้าข้างหมู่พวกเฉพาะของตนอย่างน่ารังเกียจ และ..น่าขยะแขยงจนเหลือเชื่อ..มีความผิดอยู่มากมากมายทั้ง..คดีโลกและคดีธรรม..ที่ปลิ้นปล้อนตลบตะแลงจนพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษไปได้ เหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้/กลายเป็นบริบทสำคัญในสังคมจริงแห่งวันนี้..คือกระจกส่องสะท้อนสังคมร่วมสมัยบานโต ที่แสดงให้เห็นถึง “ความลับที่เปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งที่สุดของสังคมมายาคติ” แห่งปี2566..

ใครคือผู้ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ต่างที่เกิดขึ้นนี้..ในเมื่อผู้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ทั้งหมด..ต่างเป็นเหมือน “ผู้ไม่รับผิดชอบเสียเอง..พวกเขายืนยันถึงความมี “เกียรติภูมิ” ของตนเองเพียงด้วยคำสาบานมักง่าย..หรือไม่ก็เป็นคำแก้ตัวชุ่ยๆ..ไร้คุณค่าแห่งความน่าเชื่อถือ..” ..ไปวันๆ..รวมทั้งการทุ่มซื้อเวลาเป็นคราวๆไปอย่างเอารัดเอาเปรียบ..! สิ่งต่างๆเหล่านี้คือ “ความเงียบของสังคมที่ขลาดกลัว” คือผลกระทบทางอารมณ์ในขีดสุดของ “หายนะแห่งศรัทธา” ที่มองเห็นความมืดมนแห่งอนาคตอย่างเด่นชัด..เพียงเท่านั้น..

..ผมหวนกลับไปอ่านหนังสือ “ความเงียบ” ของ “สุชาติ สวัสดิ์ศรี” อีกครั้ง..หลังจากสัมผัสกับมันในครั้งแรกเมื่อกว่ากึ่งศตวรรษที่แล้ว..กระทั่งต่อมาและต่อมา..ข้ามยุค..ข้ามสมัยอันเป็นเหมือนชนวนแห่งไฟของความอยุติธรรมและไร้หวัง..

“วันเศร้าและมีจิตสำนึกหดหู่..ฉันรู้..ฉันรู้สึกมานานแล้ว..ในสังคมแบบนี้..ฉันได้คิดไว้เรียบร้อยแล้ว..ฉันคิดว่าตัวเอง มองเห็นสิ่งที่กำลังรออยู่เบื้องหน้าทั้งหมด..สิ่งที่ล้มคลืน สิ่งที่พังทลาย สิ่งที่ล้มเหลว สิ่งที่เป็นมายาปลอม..ฉันเดินและเดิน ฉันก้าวผ่านความมืด..ผ่านไป..แล้วมองฝ่าความมืดออกมา..ฉันเห็นสิ่งที่ฉันไม่ชอบ”

นี่คือ..ข้อความในบทตอนหนึ่งในเรื่องสั้น “ฉันและเขา” ในรวมเรื่อง “ความเงียบ” ของ “สุชาติ สวัสดิ์ศรี”..เมื่อก่อนการเปลี่ยนแปลง “14 ตุลาคม 2516” ชีวิตของผม..อ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้มาหลายครั้ง..ด้วยความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในความมืดมิด..

ตัวละครตัวเอกของเรื่องสั้นเรื่องนี้ ตอกย้ำกับความเป็นจริงของสังคมให้ได้ตระหนักว่า “เขา”..เห็นสิ่งที่เขาไม่ชอบอยู่ในแสงสว่างภายนอกความมืดมิด..และ “สิ่งที่เขาไม่ชอบ”..ทำให้เขาเบื่อหน่าย..และไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งกับสังคม..ที่ “ลึกลับซับซ้อนไปด้วยความเลวร้าย” นี้..

โดยจิตสำนึกที่แท้จริง..มีความลึกลับอยู่มากมายเกินกว่าจะคาดคิด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า..ความทุกข์ยากนั้นเกิดจาก “เคราะห์กรรมเฉพาะหน้า” ที่ถูกกระทำโดยกลไกแห่งสังคมที่ไม่เหมือนกัน..และ..ไม่สามารถมองเห็นโดยเด่นชัด “แสงจากบางห้องเปิดสว่าง หญิงคนหนึ่งกำลังให้ลูกกินนมหล่อน..สงบเงียบ..แม้จะดูเหนื่อหน่ายและวิตกกังวล..เอื้อมมือไปจัดของ ที่กระจายอยู่ข้างตัวอย่างระมัดระวัง..และทำสำเร็จเรียบร้อยในขณะที่ลูกของเธอนอนหลับอยู่บนตัก..เขาสำนึกในรูปลักษณะอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงแห่งเคราะห์กรรม..ได้หยั่งรู้ถึง ความลึกลับมืดมนแห่งความทุกข์ยากของมนุษย์..”

ความตอนนี้ในเรื่องสั้น “ฉันและเขา” เหมือนจะช่วยขยายขอบเขตแห่ง “ความลึกลับที่เลวร้าย” ให้กว้างขึ้น..ทั้งในส่วนของสังคมที่เป็นตัวบีบรัด ผนวกเข้ามาใกล้สู่ความลึกลับที่เจ็บปวดข้างใน “จิตใจ” ของผู้คนส่วนใหญ่แห่งสังคม..ที่สุดแล้ว..อะไรคือ...ความหมายของโลกในวันนี้/อะไรคือ สิ่งที่เป็นข้อแก้ไขความมืดมนของสังคม..ให้ก้าวไปสู่ “แสงฉายที่ส่องสว่าง”..

ทุกอย่างยังคงเป็น “ความเงียบ” ที่เหมือนถูกครอบงำอยู่ด้วยความขลาดกลัวในบางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็น..โดยเฉพาะพลังแห่งการหลงใหลในอำนาจ..ของผู้ที่ตกอยู่ในบ่วงบาศของ “อำนาจแห่งสังคม” ทุกคน..

อย่างไรก็ดี..ไม่ว่าชีวิตของเราทุกคน ณ วันนี้..จะมีอยู่หรือเป็นอยู่เพื่อสิ่งใดก็ตาม..สำหรับคนบางคน เขาอาจจะมีชีวิตอยู่เพื่อตาย..เพื่อฆ่าตัวตาย หรือเพื่อรอคอยความตาย..ชีวิตของเราทุกคน..ก็ล้วนมีข้อสรุป ทมในประเด็นเดียวกันว่า..มันเป็นเพียง “ข้อประนีประนอมระหว่างพวกศักดินากับพวกนายทุนเท่านั้น..” ซึ่งบทสรุปบทนี้เท่ากับเป็นการเน้นย้ำให้มองเห็น “สภาวะความเป็นไปที่แท้จริง” ของสังคมไทยว่าตกอยู่ในอำนาจของสิ่งใด..ซึ่งอาจจะเป็นคำตอบได้ระดับหนึ่งว่า.. “ความลึกลับที่เลวร้ายของสังคม” ที่เกิดขึ้นอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้น..เป็นผลที่ถูกกดดันมาจาก..โครงสร้างใดของสังคมกันแน่? “ถ้าพวกเขามีอำนาจ..มีเงิน..และร่วมมือกันกดขี่ชนชั้นกลาง..ชนชั้นกลางซึ่งหมายถึงพวกเราส่วนใหญ่จะเดือดร้อน..จะเป็นเหมือนลูกไก่ในกำมือที่ไม่มีทางออกใดๆได้เลย..”

โดยประเด็นสรุป..แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเลวร้าย..ในสังคมไทยตามเวลาที่ผ่านไป..จะมีผลกระทบต่อจิตใจที่รุนแรงสักเพียงใดก็ตาม..แต่ในฐานะของชนชั้นกลาง..ในฐานะของผู้ถูกกระทำทุกสิ่งยังเป็น “ความลึกลับในจิตใจ” ที่หาคำตอบอันลงตัวไม่ได้.. และด้วยเหตุที่เราส่วนใหญ่...ไม่สามารถที่จะได้รับคำตอบหรือให้คำตอบเพื่อสภาพที่ดีขึ้นของสังคม.. “ความไร้จุดหมายในชีวิต” ตลอดจน “เงื่อนงำที่ไร้คำตอบ” จึงยังคงมีอยู่ท่วมท้นทั้งในส่วนของสังคม และ ในจิตใจของผู้ร่วมชะตากรรมทุกๆคน..ตราบใดที่..โลกแห่งชีวิตของมนุษย์..ไม่สามารถสลัดพ้นไปจากอิทธิพลของความบาดหมางและเห็นแก่ตัว..ยุคใหม่..

ด้วยเหตุนี้..วิถีแห่งการดำรงอยู่ ตลอดจนวิธีเอาตัวรอดทั้งหมด..จึงตกอยู่ในสภาวะเป็นไปแบบวันๆ..มืดมน ว้าเหว่ และซ่อนงำด้วยความลึกลับอยู่เสมอ.. “การมองเห็นชีวิตอย่างผิวเผิน ในสังคมปัจจุบัน ย่อมมองไม่เห็นความลับนี้” ย่อมมองไม่เห็นถึง “ความไร้สาระ” ที่ไหลหลั่งมาสู่ชีวิตของเรา.. กึ่งศตวรรษแห่ง 14 ตุลาคม 2516 วันมหาวิปโยคเมื่อครั้งหนึ่ง...วันที่แอบซุกตัวเงียบๆอยู่ในความมืดมน..วันที่พร้อมจะตะโกนออกมาเพื่อขย้ำความเป็นตัวตนและจิตวิญญาณของเราให้แหลกสลาย จนกลายเป็น “หายนะแห่งศรัทธาที่เจ็บปวด” ในที่สุด

“จักรวาลนี้ ยังเต็มไปด้วยความลึกลับ ..ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่เราต้องอุทิศแรงกายทั้งหมดเข้าต่อสู้..เพื่อการอยู่รอดหรือผ่านพ้นไปด้วยดี..การผ่านพ้นของทุกคนคือความสุข..แต่หลังจากนั้น..ความสุขคืออะไร?..ไม่มีใครรู้!”