นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายให้กับผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)ว่า ได้เร่งรัดให้การรถไฟนำโครงการรถไฟทางคู่ช่วง หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ระยะทาง 45 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 7,864.49 ล้านบาท ขึ้นมาเร่งดำเนินการก่อน เพื่อรองรับการค้าชายแดนระหว่างไทย-มาเลเซียที่กำลังเติบโต ซึ่งทางคณะกรรมการ รฟท.และผู้ว่า รฟท.เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม คาดว่า ในการประชุมคณะกรรมการ รฟท.วันที่ 18 ตุลาคม 2566 จะมีการนำเสนอโครงการดังกล่าวเข้าที่ประชุม

นอกจากนี้ ทางคู่อีก 2 เส้นทางที่มีความพร้อม คือ สายขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 กม. วงเงิน 29,748 ล้านบาท และสายปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 285 กม. วงเงิน 59,399.80 ล้านบาท ให้คณะกรรมการ รฟท.พิจารณา ก่อนส่งมายังกระทรวงคมนาคม และคาดว่าจะสามารถเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2566 เริ่มประกวดราคาได้ต้นปี 2567 โดยทางคู่ทั้ง 3 เส้นทางดังกล่าวมีวงเงินรวม 97,012.29 ล้านบาท ได้รับการอนุมัติรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ทั้งหมดแล้ว และคาดว่างานก่อสร้างจะทยอยแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2570-2572 ทั้งนี้ ในส่วนของยังมีโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงอีก 3 ช่วง วงเงินรวม 21,832 ล้านบาทที่จะดำเนินการต่อไป คือ 1.ส่วนต่อขยายช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์รังสิต) ระยะทาง 8.84 กม. วงเงิน 6,468 ล้านบาท ที่ขณะนี้ รฟท. ได้นำส่งมายังกระทรวงคมนาคม เพื่อเตรียมเสนอครม.แล้ว

 นายสุรพงษ์ กล่าวด้วยว่า ได้มอบนโยบายแก่ รฟท.เพิ่มเติมเกี่ยวกับการแก้ปัญหาผลประกอบการของ รฟท.ที่ขาดทุนทุกปี โดยให้ รฟท.ไปเร่งทำการตลาดด้านการขนส่งสินค้าจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้ดังกล่าวที่ 3% ของรายได้รวม หรือประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี ต้องเพิ่มเป็น 30% ภายในปี 2567 โดยรฟท.อาจว่าจ้างมืออาชีพด้านการตลาดมาเพิ่มศักยภาพ รวมทั้งตั้งทีมงานด้านการตลาดขึ้นมาดูแลในเรื่องนี้ด้วย พร้อมทั้งรุกตลาดผู้โดยสารโดยมุ่งเน้นเรื่องการท่องเที่ยวให้เข้มข้นขึ้น เนื่องจากไม่สามารถเพิ่มค่าโดยสารในส่วนการให้บริการเชิงสังคมที่คงค่าโดยสารไว้ตั้งแต่ปี 2538 ได้ โดยตนตั้งเป้าให้ รฟท.ว่าภายในปี 2567 รฟท.ต้องไม่ขาดทุน (ไม่รวมผลขาดทุนสะสม) และหลังจากนั้นจะต้องเริ่มมีกำไร