นักแสดงหนุ่มสุดฮอตขวัญใจวัยรุ่น "วิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร" เรียกได้ว่าเป็นอีกนักแสดงที่เติบโตในวงการบันเทิงอย่างก้าวกระโดด มาเปิดใจในรายการ WOODY FM ถึงเรื่องราวชีวิตที่เกินฝัน ยอมรับเป็นคนที่มีความคาดหวังสูง พร้อมเล่าวิธีรับมือกับเรื่องดราม่า เผยตอนนี้ยังไม่โฟกัสเรื่องแฟน

คุณเป็นบุคคลสาธารณะที่ชีวิตเติบโตอย่างรวดเร็วมาก รับมือกับการเปลี่ยนแปลงและมีผู้ติดตามที่มากขึ้นเรื่อยๆ ระดับโลกยังไง ?

วิน : ผมมองว่าในทุกๆ การเปลี่ยนแปลง เราจะต้องมีสติกับมัน ในทุกช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราเสมอ ถ้าเกิดว่าอยู่ๆ ก็มีคนสนใจเรามากๆ แต่ว่าเราไม่ได้พัฒนาตัวเอง หรือไม่ได้สนใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่ บางทีเราอาจะหลุดไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น แต่ว่าผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่อยู่กับปัจจุบันมากๆ แล้วก็รู้ตัวว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่

อยู่กับปัจจุบันเป็นเรื่องสำคัญ แปลว่าไม่ค่อยจะกังวลอดีตหรืออนาคต ?

วิน : เรากังวลครับ แต่ว่าเรารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ณ ตอนนี้ โมเมนต์นี้ เรามีแพลนในอนาคต ที่เราอยากจะไปให้ถึง แต่ว่าเราก็ไม่ได้ทิ้ง ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

มันยังมีแพลนที่มากกว่านี้อีกเหรอ เพราะถ้าพี่เป็นวินก็รู้สึกว่าน่าจะที่สุดแล้วนะ ?

วิน : ยังครับพี่ (หัวเราะ) คือวินมองว่า แพลนที่วินอยากจะไป แล้วก็เป้าหมายที่วินอยากจะทำ อยากจะไปในวงการที่ International มากขึ้น อยากจะนำวงการบันเทิงไทยไปสู่ระดับโลกให้ได้ ไปสู่ในระดับเอเชียให้มากขึ้นในหลายๆ ประเทศให้ได้

ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนก็ตามมีแฟนๆ เยอะมากมาคอยติดตาม วินาทีที่เรารู้ว่ามีแฟนคลับต่างชาติมาด้วย มีความรู้สึกยังไง ?

วิน : โห มันประทับใจมากครับ ตั้งแต่เริ่มแรกที่เรายังไม่เคยคิดเลยว่า เราจะสามารถมีแฟนคลับต่างชาติได้ แค่ตอนแรกที่เล่นซีรี่ส์ก็คือ เราจะมีแฟนคลับในไทยหรือเปล่าเลย แต่ว่าพอมาถึง ณ จุดนี้ คือมันกลายเป็นอะไรที่เกินกว่านั้นมากเลย แล้วช่วงนั้นที่เราเป็นกระแสขึ้นมาก็ได้เห็นแฟนๆ ต่างชาติผ่านโซเชียลอย่างเดียวที่เขาพิมพ์ข้อความมา จนกระทั่งหลังสถานการณ์ดีขึ้นแล้วเราสามารถบินไปต่างประเทศได้ก็ทำให้เราได้เห็นแฟนๆ แต่ละประเทศตัวเป็นๆ ก็ประทับใจมากๆ ครับ และเห็นในความแตกต่างของแต่ละประเทศออกไป

เราต้องปรับจูนก่อนไปไหมว่าวัฒนธรรมแต่ละประเทศเป็นยังไง ?

วิน : ต้องรู้ก่อนครับ อย่างบางประเทศเขาอาจจะมีวัฒนธรรมที่ห้ามอ้างอิงแบบนี้ ห้ามพูดถึงอะไรแบบนี้ เราก็ต้องเรียนรู้ไว้ก่อน และไม่ทำในสิ่งนั้นที่เป็นวัฒนธรรมของเขา 

วิธีรับมือกับเรื่องดราม่า ?

วิน : อะไรก็ตามที่มันเป็นดราม่าเกิดขึ้นมา บางเรื่องต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงบ้าง หรือว่าไม่จริงบ้าง ค่อนข้างเยอะมากเลยครับ เราแค่มีสติกับมัน แล้วก็เรียนรู้ถ้าเกิดว่ามันเป็นอะไรที่เราทำผิดพลาดไป แล้วเราสามารถแก้ไขและพัฒนามันได้ วินก็จะนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นสิ่งที่ทำให้พัฒนาตัวเองต่อไป แต่ถ้าเรื่องไหนที่มันไม่ใช่เรื่องจริง หรือว่าเป็นเรื่องที่อาจจะบิดเบือนไปค่อนข้างเยอะเราก็มองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป

ที่ผ่านรู้สึกว่าวินไม่ค่อยมีโอกาสพูดเปิดใจแบบลึกๆ เลย ขอย้อนไปตั้งแต่วัยเด็กจนปัจจุบัน ช่วงไหนของชีวิตที่วินรู้สึกว่าท้าทายที่สุดสำหรับคุณ ?

วิน : ถ้าต้องเลือกช่วงหนึ่ง ผมว่าช่วงนี้แหล่ะครับช่วงที่เราก้าวจากวัยเรียนมาเป็นวัยทำงานอย่างเต็มตัว ผมว่ามันเป็นอะไรที่ยากมากๆ และท้าทายมากๆ มีเรื่องราวใหม่ๆ ให้เราได้เรียนรู้ไปทุกวันจริงๆ รู้สึกว่าตั้งแต่ก้าวมาทำงาน มันทำให้เป้าหมายในชีวิตเราชัดเจนขึ้นมากๆ จากแต่ก่อน

เหมือนฝันที่ไม่กล้าฝันไหม ?

วิน : มากๆ เลยครับ มันเป็นอะไรที่เกินฝันมากๆ ตั้งแต่วันแรกในเรื่องของวงการบันเทิง แล้วก็เรารู้สึกว่าเราแค่อยากจะทำทุกโมเมนต์ที่เราได้รับโอกาสให้มันดีที่สุด แต่พอมันเกินสิ่งที่เราคาดฝันมาแล้ว เราก็แค่ทำต่อๆ ไปให้ดีขึ้นเรื่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ

คุณค่อนข้างจะแคร์หรือเป็นห่วงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต มองย้อนกลับไปอาจจะรู้สึกท้าทายมากในการจัดการกับเรื่องที่ผ่านมา ขยายความให้เราฟังหน่อยว่ามันหมายความว่าอะไร ?

วิน : ผมรู้สึกว่าการที่ทุกคนอาจจะต้องมีเรื่องผิดพลาดในสิ่งที่เราเคยทำมาในชีวิต แล้วรู้สึกว่าถ้าเกิดว่าเราเริ่มจากการที่เราเข้าใจว่าเราผิดพลาดอะไร และเรายอมรับในสิ่งที่เราผิดพลาด มันคือสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไป แต่ว่าถ้าเกิดเรายังไม่ยอมรับ และเรายังไม่เข้าใจว่าเราผิดอะไรบ้าง วินมองว่าการที่เราเดินต่อไปในอนาคตมันก็จะยากแล้ว

พ่อแม่ทุกวันนี้ยังมีการให้คำแนะนำอยู่ไหม ?

วิน : มีครับ มีการพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่อยู่ตลอด ปกติกิจวัตรประจำวันของผมก็คือถ้าเกิดมีช่วงว่างทุกอาทิตย์จะได้เจอครอบครัวแล้วทุกคนก็จะมานั่งคุยกัน แต่ว่าพอเข้าสู่วัยทำงาน เริ่มยากแล้ว เพราะว่าบางทีเราก็ต้องบินไปบ้าง ก็พยายามหาเวลาที่จะมาอยู่กับครอบครัวคุยกันปรึกษากัน อัพเดตชีวิตกันเรื่อยๆ เขาก็จะคอยแนะนำ คอยสอนเราตลอด

แฟนๆ ของคุณน่ารักมากนะ เขาติดตามและเป็นแฟนตัวยงแล้วเขาให้ใจกับคุณมาก มีอะไรอยากจะบอกเขาไหม ?

วิน : อยากจะขอบคุณมากๆ เลยครับ คืออยากจะขอบคุณตั้งแต่วันแรกเลย ผมรู้สึกว่ามันเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขจริงๆ คือเราเติบโตมาคนละทิศทางเลย แต่ว่าวันหนึ่งเรามาเจอกัน แล้วเราก็คอยสนับสนุนกัน คอยดูแลซึ่งกันและกันมาจนถึงทุกวันนี้ ผมว่ามันเป็นอะไรที่หายากมากๆ ผมรู้สึกซาบซึ้งกับมันมากๆ กับเรื่องราวระหว่างผมกับแฟนคลับทุกคน

ถ้าสมมติว่าคุณมีแฟนจริงๆ และคุณก็มีแฟนคลับทั่วโลกเยอะมาก การเปิดตัวหรือไม่เปิดตัว คุณจะจัดการยังไง คิดว่าสังคมพร้อมจะรับรู้ไหม ?

วิน : ผมยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น ผมคิดในมุมของตัวเองก่อนว่า ณ เวลาตอนนี้ ทำงานเยอะมากจริงๆ ครับ ในเรื่องนั้นก็คือปล่อยให้เป็นเรื่องธรรมชาติแล้วกัน ถ้าเกิดว่าวันหนึ่งถ้ามันจะเกิดขึ้น หรือเราเจอคนหนึ่งที่เหมาะสมกับเราที่เหมาะสมทั้งคู่ก็รอให้ถึงวันนั้น ณ ตอนนี้ผมยังรู้สึกว่า ผมยังมีทั้งธุรกิจ มีทั้งงานในวงการบันเทิง มีอะไรหลายอย่างที่เราต้องกังวล แล้วก็ต้องทุ่มเทกับมันมากๆ ก็เลยยังไม่ได้ไปโฟกัสเรื่องนั้น รู้สึกว่าเราอยากทำตรงนี้ให้ดีมากๆ แล้วถ้าเกิดว่ามีจังหวะที่มีตรงนั้นเข้ามาด้วย เราก็ค่อยเรียนรู้กันไป ศึกษากันไป  

ย้อนกลับไปก่อนเข้าวงการ ในความสัมพันธ์กับคนรักคุณเป็นคนแบบไหน ?

วิน : ผมว่าผมเป็นคนตามใจ ผมจะใช้ชีวิตแบบสบายๆ ชิลล์ๆ ง่ายๆ เวลาเรามีแฟนหรือว่าอยู่กับใคร เราอยากจะให้คนๆ นั้น เป็นจุดที่สบายตัวและสบายใจมากที่สุด คือเราสามารถแชร์พูดคุยทุกเรื่องที่เราคิด หรือว่าเราอยากทำอะไรก็ทำได้ที่ไม่ผิด

สมมุติว่าคบๆ ไปแล้วมันคิดคนละทาง ทางออกจะเป็นยังไง ?

วิน : คือถ้าเกิดว่าคิดคนละทาง ต้องดูว่าเหตุผลที่เขาคิดทางนั้นคืออะไร แล้วเหตุผลที่เราคิดทางนี้คืออะไร แล้วเราเอามาแชร์กันว่า เหตุผลของใครฟังแล้วดูขึ้นมากกว่า หรือดูสมเหตุสมผลมากกว่าในทิศทางของแต่ละคน แล้วมาดูกันว่าจะออกเป็นรูปแบบไหนได้บ้าง

เคยง้อคนไหมครับ ?

วิน : ง้อครับ (หัวเราะ)

ง้อแบบไหนที่ได้ผลที่สุด ?

วิน : คือผมเป็นคนที่ทำอะไรมีเหตุผล เวลาที่เราง้อ ก็จะมีเหตุผลว่าทำไมเราถึงเป็นอย่างนั้น หรือว่าผิดพลาดอะไร ถ้าเราผิดพลาดอะไรก็ยอมรับในสิ่งที่ผิดพลาด แต่ถ้าเกิดว่ามีเหตุผลในสิ่งที่เราตัดสินใจทำไป เราก็เอาเหตุผลนั้นไปพูดคุยให้เขาเข้าใจ ว่าทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้

ตอนนี้แก๊งค์คุณในวงการมีไหม ?

วิน : คือถ้าเกิดว่าเป็นแก๊งค์ที่อยู่ด้วยกันประจำ น่าจะแก๊งค์ F4 ครับ คือด้วยก่อนหน้านี้เราไปทัวร์เอเชียมาด้วยกัน แล้วก็มีโอกาสได้ไปต่างประเทศหลายๆ ประเทศด้วยกันทั้ง 4 คน ความสนิทมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ และมีไลน์กลุ่มด้วยชื่อว่า F4 (หัวเราะ) คือเป็นไลน์กลุ่มที่ไม่ค่อยอยากให้คนรู้ เพราะกลัวคนจะหมั่นไส้

การเดินทางของคุณที่มีหลากหลายบุคลิก ในคาแรคเตอร์ที่เปลี่ยนไปนอกจาก Boy Love ตอนนั้นท้าทายแค่ไหน ?

วิน : คือผมมองว่าในอาชีพของนักแสดง จริงๆคือมันไม่จำเป็นจะต้องยึดติดกับสิ่งที่เราเคยเล่นมา หรือว่างานที่เราทำมาผลงานเดียว เราสามารถทำอะไรได้หลากหลายเล่น คั่นกู มาก็ไม่ได้แปลว่าผมจะเป็นไทน์ตลอดไป มันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามงานที่เราได้รับ รู้สึกว่าเราก็แค่ทำงานทุกงานที่เข้ามาที่เราเลือกที่จะทำแล้วให้ดีที่สุด ให้เป็นตัวละครนั้นได้มากที่สุด ใส่ใจกับงานนั้นให้มากที่สุด

ร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ?

วิน : ประมาณ 3 วันที่แล้วถ่ายละครครับ (หัวเราะ)

เสียน้ำตาในชีวิตจริงๆ ล่าสุดคือเรื่องอะไร ?

วิน : เป็นคนเสียน้ำตาง่ายนะครับ แต่ว่าจำไม่ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับงาน เกี่ยวกับสิ่งที่เราคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นแต่ว่าไม่ได้เป็นแบบนั้น สิ่งที่เราหวังแต่ว่าสุดท้ายมันไม่ได้

แปลว่าเป็นคนที่มีความคาดหวังสูง ?

วิน : ใช่ เป็นคนที่มีความคาดหวังสูงตั้งแต่เด็กเลยครับ คือเป็นคนที่ต้องคิดว่าจะได้อันนี้ให้ได้ แต่ว่าพอถึงเวลาจริงๆ แล้ว เราเต็มที่กับมันมากๆแล้วแต่สุดท้ายมันไม่ได้ มันก็จะมีความเสียใจบ้าง

ตอนนี้เราได้โตขึ้นไหม ?

วิน :  โตขึ้นครับ ตอนนี้ก็คือเรารู้สึกว่ายอมรับในสิ่งที่ผิดหวังได้มากขึ้น ในสิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่เราหวังได้มากขึ้น