วันที่ 9 ตุลาคม 2566 ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มี นายศุภชัย สมเจริญ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เป็นการพิจารณากระทู้ถามด้วยวาจาของ นายสุวัฒน์ จิราพันธุ์ ส.ว. ถาม นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กรณีการดำเนินงานนโยบายต่างประเทศต่อสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส โดยนายเศรษฐา มอบหมายให้ นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้ตอบกระทู้แทน

นายสุวัฒน์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือความปลอดภัยของชาวไทยที่บาดเจ็บสาหัสและไม่สาหัส รวม 8 ราย และผู้ที่ถูกจับกุมเป็นตัวประกันอีก 11 ราย รวมถึงประชาชนไทยที่อยู่ในอิสราเอล 30,000 คน ปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอิสราเอลและปาเลสไตน์เป็นปัญหาสะสมมานาน คนที่ติดตามปัญหาดังกล่าวจะเข้าใจว่าเมื่อสหประชาชาติ (UN) มีมติให้ตั้งรัฐอิสราเอลในปี 2490 และมีการจัดตั้งรัฐอิสราเอลในปี 2491 สิ่งที่เกิดขึ้นคือรัฐอิสราเอลตั้งอยู่ แต่ขณะเดียวกันมติสหประชาชาติฉบับนั้นพูดถึงการมีรัฐคู่ และการดูแลเมืองเยรูซาเร็มให้เป็นระบอบพิเศษระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มี ปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดความขัดแย้งและการสู้รบจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ

นายสุวัฒน์ กล่าวต่อว่า ตนเคยเป็นหัวหน้าทีมที่เคยช่วยชาวไทยอพยพจากประเทศเลบานอนในปี 2549 ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างอิสราเอลและเฮซบอลเลาะห์มีชาวไทยกว่า 200 คน จึงเชื่อว่าขวัญและกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ แต่ตนไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะดำเนินการได้โดยฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ สิ่งที่ใหม่คือการโจมตีที่สามารถเกิดขึ้นได้เป็นระยะๆ จึงอยากให้รัฐบาลคิดถึงความสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศคู่กรณีพิพาท

นายสุวัฒน์ กล่าวว่า การที่ประชาชนไทยอยู่ในอิสราเอลร่วม 30,000 คน การกล่าวถ้อยแถลงมีความสำคัญ เพราะหากกล่าวเร็วและเอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย่อมมีฝ่ายตรงข้ามที่มีความรู้สึกที่ไม่ดี ซึ่งต้องระวังให้ดี และความสัมพันธ์กับทูตประเทศต่างๆ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเจรจา รวมถึงการช่วยเหลือคนไทยที่เป็นตัวประกัน อพยพประชาชนไทยที่อยู่ในเขตอันตรายไปอยู่ในที่ ที่ปลอดภัย ซึ่งต้องจัดลำดับความสำคัญ หวังอย่างยิ่งว่านอกจากการดำเนินงานของรัฐบาล บุคลากรในฝ่ายนิติบัญญัติสามารถมีส่วนสนับสนุนการช่วยเหลือประชาชนไทยในอิสราเอลได้ รวมถึงต้องมีแผนต่อไปว่าการสู้รบนี้จะยืดเยื้อไปอีกนานเท่าใด และมีกระบวนการการช่วยเหลือประชาชนไทยที่ยังตกค้างอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างไร

ด้านนายจักรพงษ์ ชี้แจงว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายต่างประเทศและได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งเราเห็นความจำเป็นที่รัฐอิสราเอลและรัฐปาเลสไตน์จะต้องเจรจากัน เพื่อแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน เพื่อความมั่นคงและสันติภาพที่ยั่งยืน รวมถึงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนและสันติ ซึ่งจะบรรลุได้ด้วยการเจรจาอย่างสันติเท่านั้น

นายจักรพงษ์ กล่าวว่า ประเทศไทยหวังว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะตระหนักถึงความสำคัญของบรรยากาศการเจรจาที่จะเป็นโอกาสที่จะบรรลุข้อตกลงอย่างสันติ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการประณามการกระทำที่รุนแรงที่เกิดขึ้นที่ส่งผลต่อความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งมีคนไทยที่ได้รับผลกระทบทั้งชีวิต บาดเจ็บ และถูกลักพาตัว โดยในขณะนี้การปกป้องดูแลความปลอดภัยของคนไทยและการนำคนไทยกลับสู่ประเทศไทยอย่างปลอดภัยในโอกาสแรกที่ทำได้ ซึ่งเป็นภารกิจที่มีความสำคัญลำดับต้นของรัฐบาล

“ขอให้รัฐบาลอิสราเอล ปาเลสไตน์ และทุกส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลสันติภาพ ปลอดภัย และอำนวยความสะดวกการปล่อยตัวคนไทยที่ถูกจับกุมออกมาอย่างปลอดภัย รวมถึงรัฐบาลกำลังเจรจากับรัฐบาลปาเลสไตน์เพื่อช่วยคนไทย ทั้งนี้ ในส่วนของการช่วยเหลือทางรัฐบาลได้เตรียมเครื่องบินที่จะอพยพชาวไทยที่อยู่ในปาเลสไตน์ ซึ่งมีการวางแผนกันไว้แล้วว่าหากเราสามารถเอาเครื่องบินลงที่ปาเลสไตน์ได้ เราก็จะเอาเครื่องลงที่นั่น แต่หากไม่ได้ก็จะเอาลงบริเวณใกล้ๆ รวมถึงเตรียมช่องทางการติดต่อไว้แล้ว โดยเราจะรับเรื่องการเจรจาไปดำเนินการ ยืนยันว่าเราใช้ทุกวิถีทาง ทุกช่องทางในการที่จะช่วยเหลือและนำคนไทยออกมาได้อย่างปลอดภัย” นายจักรพงษ์ กล่าว