เมื่อวันที่ 7 ต.ค.66 นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียูเฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ ประจำโรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC" ระบุว่า...
ผู้ป่วยหญิงอายุ 55 ปี ปกติแข็งแรงดี มีโรคประจำตัวไขมันในเลือดสูง
มีอาการปวดหัว ปวดตัว มีไข้ เจ็บคอ น้ำมูกนิดหน่อย ไม่เหนื่อย ป่วยมา 3 วัน ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีนี้ มาพบแพทย์วันที่ 4 ตุลาคม 2566 ตรวจร่างกาย อุณหภูมิ 36.8 องศาเซลเซียส ระดับออกซิเจนที่ปลายนิ้ว 98% ฟังปอดปกติ เอกซเรย์ปอดปกติ แยงจมูกตรวจพบไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A
วินิจฉัย : ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A
เนื่องจากทั้งโรงพยาบาลไม่มียารักษาไข้หวัดใหญ่ทุกตัวรวมทั้งยา ทามิฟลู (Tamiflu), GPO-A-Flu, โอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) และ โซฟลูซา (Xofluza) บาลอกซาเวียร์ (Baloxavir) มีเหลือแต่ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) เท่านั้น
ได้คุยกับคนไข้เรื่องยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยาที่ประเทศญี่ปุ่นคิดค้นสำหรับรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ที่ดื้อต่อยารักษาไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เช่นไวรัสไข้หวัดนก มีการศึกษาในการทดลองขั้นที่ 3 เปรียบเทียบยาฟาวิพิราเวียร์ กับยาหลอกในการรักษาไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล สามารถลดจำนวนไวรัสไข้หวัดใหญ่ลงได้ แต่ไม่สามารถยืนยันว่า ฟาวิพิราเวียร์ลดจำนวนวันที่ป่วยจากไข้หวัดใหญ่เมื่อเทียบกับยาหลอกได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ยาฟาวิพิราเวียร์มีผลข้างเคียงเพิ่มระดับกรดยูริก บางคนทำให้หัวใจเต้นช้า ประเทศตะวันตกไม่อนุมัติให้ยาฟาวิพิราเวียร์ขึ้นทะเบียนรักษาไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล
ถ้าผู้ป่วยมีอาการหนักจากไข้หวัดใหญ่ เราไม่มีทางเลือก คงต้องให้ยาฟาวิพิราเวียร์ แต่ผู้ป่วยรายนี้อาการไม่มาก ไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง
หลังจากให้ข้อมูล คนไข้ตัดสินใจเอง ขอไม่รับยาฟาวิพิราเวียร์ ขอรักษาตามอาการ ติดตามคนไข้ 2 วัน อาการค่อยๆดีขึ้นเอง
คนไทยกำลังติดเชื้อไข้หวัดใหญ่กันมากมาย จนกระทั่งขาดแคลนยารักษาไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลทั้งประเทศ ขอให้ทุกคนรีบไปรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 1 เข็มปีนี้เพื่อลดความรุนแรงของโรค