วันที่ 7​ ต.ค..66 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr  ระบุข้อความว่า 

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร
6 ตค 66
_________________

นโยบายแจกเงินผ่าน digital wallet คนละ 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นยาจกหรือเป็นเศรษฐีพันล้าน หมื่นล้าน ขอเพียงอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป จะได้เงิน 10,000 บาทกันทุกคน เดิมตอนหาเสียงคุยว่า จะไม่ต้องกู้เงินแม้แต่บาทเดียว แต่วันนี้ทำท่าว่าจะต้องยืมเงินจากธนาคารออมสินถึง 5.6 แสนล้าน นี่เป็นการเลี่ยงกฎหมายในทำนองเดียวกับพรรคก้าวไกลที่ขับนายปดิพัทธ์ สันติภาดาออกจากพรรคไปฝากไว้พรรคอื่นเพื่อให้ได้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านและรักษาตำแหน่งรองประธานสภาไว้หรือไม่ ไม่ว่าจะกู้เงินหรือยืมเงิน หรือเอาเงินมาใช้ก่อน ไม่ว่าจะบอกว่าจะนับเป็นหนี้สาธารณะหรือไม่ เงินที่จะใช้คืนก็ต้องมาจากงบประมาณแผ่นดินซึ่งมาจากการเก็บภาษีอากรจากธุรกิจและประชาชนอยู่ดี

นายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายกรัฐมนตรียังคงประกาศก้องว่า นโยบายนี้จะต้องทำ และทำได้แน่นอน ท่ามกลางกระแสการคัดค้านจากบรรดานักวิชาการชั้นนำด้านเศรษฐศาสตร์เป็นจำนวนมาก นักการเงินการธนาคาร และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยทั้งคนปัจจุบัน และที่พ้นตำแหน่งไปแล้วอีกหลายคน ล้วนมีความเห็นว่านโยบาย digital wallet เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ซึ่งไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดในขณะนี้ แต่กลับมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงินการคลังของประเทศอย่างมาก  

อย่างไรก็ดี สภาพที่เป็นอยู่ขณะนี้ฟ้องว่า ก่อนจะหาเสียงและขณะหาเสียง พรรคเพื่อไทยเพียงคิดจะแจกเงินคนละ 10,000 บาท เพื่อให้ได้คะแนนเสียง แต่รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการ กระบวนการจัดการยังไม่ได้คิด รู้เพียงว่าจะไม่ใช้เงินบาทโดยตรง และจะไม่แจกผ่านแอพเป๋าตัง แต่จะใช้เทคโนโลยี block chain และจะให้ใช้เงินได้ในรัศมีไม่เกิน 4 กม ของที่อยู่ตามบัตรประชาชนของผู้ได้รับเงิน รายละเอียดมีเพียงเท่านี้ ที่สำคัญขณะยังไม่รู้ว่าจะเอาเงินมาจากที่ใดก็นำนโยบายนี้ไปประกาศหาเสียงแล้ว และก็คงได้คะแนนเสียงจากการประกาศแจกเงิน 10,000 บาท มาไม่น้อย เพราะใครๆก็อยากได้เงินกันทั้งนั้น 

ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร นายกรัฐมนตรีก็คงจะเดินหน้าทำนโยบายแจกเงินแบบเทกระจาดให้เป็นจริงให้ได้ ไม่ว่าจะมีความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงินการคลังของประเทศเท่าใด ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งนอกจากจะไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดแล้ว อัตราดอกเบี้ยขณะนี้ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ยิ่งไม่สมควรจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการกู้เงินซึ่งเป็นการสร้างหนี้เพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาลเช่นนี้  ทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้ออีกด้วย หากรัฐบาลมีเงินคงคลังล้นเหลือจนไม่รู้จะนำไปใช้อย่างไรยังว่าไปอย่าง แต่นี่จะต้องสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอีก 5.6 แสนล้านและต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงไปเพื่ออะไร 

ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่า สาเหตุที่นายกรัฐมนตรีจะต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จให้ได้ จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากความกลัวว่าการล้มเลิกนโยบาย digital wallet จะทำให้ผู้ที่เลือกพรรคเพื่อไทยเพราะต้องการเงิน 10,000 บาท จะไม่พอใจและจะไม่เลือกพรรคเพื่อไทยอีกในการเลือกตั้งครั้งหน้า มีมากกว่าความกลัวความเสี่ยงของการล่มสลายทางเศรษฐกิจของชาติ และจะเป็นความพินาศของธนาคารออมสินอีกด้วย ทั้งนี้ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการที่ นโยบาย digital wallet อาจเป็นนโยบายที่จะสร้างผลประโยชน์แอบแฝงให้แก่ใครบางคนด้วยซ้ำ

สังเกตว่า สัญญานเตือนภัยในขณะนี้คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจนใกล้จะหลุด 1,400 จุดแล้ว นักลงทุนต่างชาติเทขายกันอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีสัญญานว่าจะกลับมาซื้อสุทธิเมื่อใด แสดงถึงความไม่มั่นใจต่อรัฐบาลชุดนี้ การดึงดันที่จะปฏิบัติตามนโยบายที่มีความเสี่ยงสูงซึ่งมีผู้ทักท้วงเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ยิ่งทำให้เกิดความไม่มั่นใจมากขึ้น หากดัชนีลดลงต่ำกว่า 1,400 จุดเมื่อใด นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จะพากันขาดทุนกันอย่างย่อยยับ หายนะก็จะบังเกิดต่อเศรษฐกิจของชาติอย่างไม่ต้องสงสัย

หวังว่ารัฐบาลจะฟังเสียงผู้คัดค้านเหล่านี้และหาทางถอย หาเหตุผลที่จะล้มเลิกนโยบายนี้โดยไม่ต้องเสียหน้า และไม่ต้องเสียคะแนนเสียงในอนาคต แทนที่จะดึงดันที่จะทำให้ได้โดยไม่ฟังเสียงการทักท้วงที่เป็นเหตุเป็นผลของผู้ที่มีความรู้และมีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศหลายต่อหลายคน หากรัฐบาลตัดสินใจถอย เสียงแซ่ซ้องจะดังสนั่นจากประชาชนที่คำนึงถึงความอยู่รอดของชาติมากกว่าการได้รับเงิน 10,000 บาทอย่างแน่นอน