จากกรณีที่เด็กอายุ 14 ปี ก่อเหตุยิงในห้างสยามพารากอนเมื่อวันที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าปืนที่ใช้ก่อเหตุนั้น เป็นแบลงค์กันดัดแปลงให้สามารถยิงกระสุนจริงได้นั้น
ล่าสุด วันที่ 6 ต.ค.66 พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) เปิดเผยว่า จากการที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุในวันเกิดเหตุด้วยตนเอง ก็ได้สั่งการกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทันที ให้เรียกประชุมคณะทำงาน เพื่อเร่งศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับแบลงค์กัน แต่เนื่องจากแบลงค์กันไม่ได้เป็นอาวุธในทางกฎหมาย ไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย สามารถนำเข้าโดยผ่านขั้นตอนทางศุลกากร ซึ่ง ณ ขณะนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีข้อมูลว่าในประเทศไทยมีแบลงค์กันอยู่เป็นจำนวนมาก ตัวเลขโดยประมาณมีอยู่หลายพันกระบอก จึงต้องมีการหารือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร แบะกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อควบคุมแบลงค์กัน ในส่วนเรื่องการขนส่ง หรือ โลจิสติกส์ ซึ่งมีการพัฒนาไปมาก แต่ระบบตรวจสอบการขนส่งพัสดุนั้นยังไม่มี จึงเป็นช่องทางให้มีการส่งสิ่งผิดกฎหมายกันโดยง่ายดาย ซึ่งตรงนี้ก็ควรจะต้องมีการควบคุมด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ (5 ต.ค.) เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้มีการประชุม โดย ผบ.ตร. ได้สั่งเปิดแผนปฏิบัติการระดมกวาดล้างอาชญากรรมอาวุธปืน ซึ่งมีเป้าหมายกว่า 2,300 แห่ง ทั่วประเทศ มีทั้งแหล่งรับซื้ออาวุธปืน , โรงงานแหล่งผลิต และแหล่งดัดแปลงแบลงค์กัน โดยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บช.สอท. เป็นผู้นำข้อมูลเป้าหมายส่งให้กับกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค และหน่วยที่เกี่ยวข้อง ไปดำเนินการระดมดวาดล้างตามแผนต่อไป อีกเรื่องที่จะต้องมีการพูดคุยหารือเพื่อหามาตรการป้องกันคือ เรื่องการขนส่ง หรือ โลจิสติกส์ ซึ่งปัจจุบันพัฒนาไปมาก แต่ระบบการตรวจสอบพัสดุที่ส่งนั้นยังไม่มี จึงเป็นช่องทางให้มีการส่งสิ่งผิดกฎหมายกันโดยง่ายดาย ซึ่งตรงนี้ก็ควรจะต้องมีการควบคุมด้วยเช่นเดียวกัน
ส่วนเรื่องการควบคุมการนำเข้าก็จะต้องหารือกับกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง และเรื่องการพิจารณาให้แบลงค์กันเป็นอาวุธปืนนั้น อยู่ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยซึ่งจะเป็นผู้พิจารณา
#พารากอน #สยามพารากอน #กราดยิง #กราดยิงพารากอน #กราดยิงสยามพารากอน