สยามรัฐ ยึดมั่นอุดมการณ์ปกป้องเทิดทูนสถาบันชาติศาสน์ กษัตริย์ ยืนหยัดรับใช้สังคมด้วยจิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบ …*…

 โศกนาฏกรรมที่ห้างดังกลางกรุง ไม่เพียงก่อให้เกิดความสูญเสียมีผู้บาดเจ็บล้มตายเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลกระทบถึงธุรกิจท่องเที่ยวที่เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยามนี้ รัฐบาลและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งกอบกู้ความมั่นใจนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากจีนที่เป็นลูกค้าใหญ่ …*…

 จากข้อมูลเบื้องต้น เยาวชนผู้ก่อเหตุสลด มีพื้นฐานครอบครัวค่อนข้างดี อะไรคือเหตุจูงใจให้กราดยิงสังหารคนไม่เลือกหน้า และเอาปืนมาจากไหนเป็นสิ่งที่ต้องค้นหาคำตอบให้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นอีก …*…

 อีกทั้งประชาชนต้องร่วมด้วยช่วยกัน เป็นหูเป็นตา หากเห็นผู้มีพฤติกรรมผิดปกติ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้เคียง เข้าตรวจสอบทันที …*…

 เหมือนจะจบ แต่ยังไม่จบ กับกรณีเก้าอี้รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ของ “หมออ๋อง” นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล หลังพรรคชาติไทยมีมติขับนายปดิพัทธ์พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ต่างอะไรกับการทำ “นิติกรรมอำพราง” เพื่อเปิดทางให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่ นายชัยธวัช ตุลาธน เข้ามาเป็นผู้นำฝ่ายค้าน โดยที่หมออ๋องยังกอดตำแหน่งรองประธานสภาฯคนที่ 1 เอาไว้ได้ ไม่เป็นการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ผู้นำฝ่ายค้านต้องมาจากพรรคที่ไม่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี ประธานสภา และรองประธานสภา …*…

“การขับสมาชิกพรรคที่เป็นถึงรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ควรเป็นเรื่องกระทำความผิดอย่างรุนแรง จนไม่สามารถทำงานร่วมกับพรรคได้ จึงเกิดคำถามว่า นายปดิพัทธ์ทำความผิดอะไร จากนี้ไปถนนทุกสายจะมีผู้ไปยื่นทั้งศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยคุณสมบัติการดำรงตำแหน่ง ตีความการขับสมาชิกออกจากพรรคชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือยื่นให้ผู้ตรวจการแผ่นดินวินิจฉัยว่า การกระทำเช่นนี้ขัดจริยธรรมและคุณธรรมทางการเมืองหรือไม่ นี่ไม่ใช่การเมืองใหม่ที่โฆษณาไว้ แต่เป็นการเมืองโบราณย้อนยุค ถอยหลังลงคลอง เพื่อต้องการรักษาตำแหน่งและผลประโยชน์มากกว่ารักษาความถูกต้องหรือไม่”นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซัดเปรี้ยง พร้อมกับฟาดซ้ำว่าการที่นายปดิพัทธ์ท่องคาถา ต้องอยู่ในตำแหน่งรองประธานสภาฯ เพื่อให้สภาฯโปร่งใสนั้น ข้าราชการ เจ้าหน้าที่สภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่สบายใจ เป็นข้ออ้างที่พูดเอาดีใส่ตัว แต่ด้อยค่าสภาฯ การใช้ช่องว่างทางกฎหมายเพื่อให้ตัวเองกอดเก้าอี้ต่อไป จะเหลือความสง่างามตรงไหน ฝืนขึ้นไปนั่งทำหน้าที่ทั้งๆ ที่ถูกพรรคขับออก จะไปกล้าสู้หน้าใครได้ สังคมรุมตำหนิว่า ก้าวไกลการละคร จึงอาจเป็นละครตกยุคน้ำเน่าไม่สร้างสรรค์  ตำแหน่งรองประธานสภา ไม่ใช่สมบัติของพรรคใด ถ้าไม่สามารถเป็นต่อได้ ก็แค่ลงมาทำหน้าที่อื่น ให้คนที่มีความเหมาะสมสง่างามทำหน้าที่ เพื่อดำรงเกียรติยศและศักดิ์ศรีของสภาไว้ …*…

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระมองว่า งานนี้พรรคก้าวไกลก้าวไกล ไม่ต่างอะไรกับการ “ก้าวถอยหลัง”  เพราะเป็น “การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต” เนื่องด้วย การมีมติพรรคให้ สส.ออกจากพรรคนั้น ต้องเป็นเรื่อง สส.ทำผิดร้ายแรง หรือขัดแย้งกับพรรค จนอยู่ด้วยกันไม่ได้ ข้อบังคับพรรคก้าวไกลก็เขียนข้อนี้ไว้ชัดมาก  จะมามีมติให้ออกกันดื้อๆง่ายๆ เพียงเพื่อเปิดทางให้ พรรคได้ตำแหน่งอีกตำแหน่งหนึ่งนั้นไม่ได้   ทำอย่างนี้นายปดิพัทธ์เองก็ยังเป็นคนก้าวไกลเหมือนเดิม   เพียงแต่ใส่เสื้อพรรคอื่นทับลงไปบนเสื้อก้าวไกล อีกตัวหนึ่งเท่านั้นเอง …*…

ส่วนที่ว่าการเลือกเดินหมากตานี้ของพรรคก้าวไกล มีใครสามารถเข้าไปขวางได้หรือไม่นั้นนายแก้วสรรชี้ว่า สส.ในสภาจำนวน 50 คน สามารถเข้าชื่อยื่นเรื่องให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเลยว่านายปดิพัทธ์ขาดสมาชิกภาพหรือไม่ เพราะพฤติการณ์จริงที่ทำไปคือการออกจากพรรคด้วยการลาออก ไม่ใช่ด้วยมติขับออกจากพรรคตามข้อบังคับ …*…

นอกจากนี้ เลขา กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ภายใต้มติเห็นชอบของ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เองเช่นกันว่านายปดิพัทธ์ได้ลาออกจนสิ้นสมาชิกภาพแล้วหรือไม่ …*…

 “ เลขา กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ด้วยความเห็นชอบของ กกต. มีอำนาจปฏิเสธไม่รับรู้รับรองมติก้าวไกล ที่ให้ “รองอ๋อง” ออกจากพรรคโดยไม่มีเหตุขัดแย้งใดๆได้ เพราะตรงนี้ขัดข้อบังคับชัดแจ้ง แล้วก็รายงานประธานวันนอร์ให้ทราบ ทำแค่นี้การกราบบังคมทูลเพื่อแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านก็ไม่เกิดขึ้น ประโยชน์จากการทำผิดก็ไม่บรรลุ ส่วนในที่สุด สส.อ๋องจะสิ้นสมาชิกภาพหรือไม่ ก็รอศาลตัดสินอีกที” …*…

งานนี้คงต้องรอดูกันต่อไป เพราะสรุปสุดท้ายแล้ว อาจลุกลามบานปลาย กลายเป็นเรื่องวุ่นวายไปทั้งพรรคก้าวไกล ไม่ใช่แค่เพียงนายปดิพัทธ์ที่ถูกล็อคเป้าไว้แล้วเท่านั้น

ที่มา:เจ้าพระยา (5/10/66)