สสว. เผยผลสำรวจผู้ประกอบการ SME ด้านโครงสร้างต้นทุนและพฤติกรรมลูกค้า พบผู้ประกอบการกำไรบาง และกำลังเผชิญภาวะต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นมากโดยมีสัดส่วนเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 92 ต้นทุนหลักอยู่ในหมวดสินค้า/วัตถุดิบ และหมวดค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและการขนส่ง ขณะที่ผู้บริโภคกำลังซื้อลดลงและยังเปลี่ยนเทรนด์ความชอบไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังต้องเผชิญคู่แข่งจากโลกออนไลน์เพิ่มมากขึ้น โดยผู้ประกอบการ SME คาดการณ์กำลังซื้อของผู้บริโภคปลายปี 66 จะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและภาคการผลิตบางสาขา ส่วนสิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุดคือ การลดต้นทุน และกระตุ้นการใช้จ่าย

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. ได้ทำการสำรวจผู้ประกอบการ SME เกี่ยวกับโครงสร้างต้นทุนและพฤติกรรมลูกค้า โดยสอบถามผู้ประกอบการ จำนวน 2,610 ราย ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 22-31 สิงหาคม 2566 พบว่า ผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่มีสัดส่วนต้นทุนรวมต่อการขายสินค้าเฉลี่ยที่ร้อยละ 92 ซึ่งถือว่ามีต้นทุนสูงมากและหากพิจารณาประกอบกับแนวโน้มการทำกำไรที่ผ่านมาของกิจการแล้วไม่ได้อยู่ในช่วงขาขึ้นแสดงว่าธุรกิจกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน โดยทั่วไปธุรกิจขนาดใหญ่หรือธุรกิจที่กำลังเติบโตมักมีต้นทุนไม่เกินร้อยละ 50 ซึ่งจากผลการสำรวจครั้งนี้ต้นทุนหลักอยู่ในหมวดสินค้า/วัตถุดิบ ร้อยละ 43 รองลงมาคือ ค่าสาธารณูปโภค ร้อยละ 16 น้ำมันเชื้อเพลิงและการขนส่ง ร้อยละ 14 และค่าแรง ร้อยละ 12 ตามลำดับ ผู้ประกอบการ SME ร้อยละ 73.7 เผชิญภาวะต้นทุนปรับเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหมวดค่าสินค้า/วัตถุดิบ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าสาธารณูปโภคและค่าแรง เป็นรายการที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการในทางลบสูง ขณะที่ SME ส่วนใหญ่ยังมีจำนวนลูกค้าทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2565 และมีจำนวนร้อยละ 31.8 ที่มีลูกค้าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยสาขาที่เพิ่มขึ้นชัดเจนอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวและการจัดกิจกรรมทางสังคม

โดยการประเมินกำลังซื้อและพฤติกรรมของผู้บริโภคในมุมมองของผู้ประกอบการ SME พบว่า สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญ คือ ผู้บริโภคมีเทรนด์ความชอบเปลี่ยนแปลงเร็วและกำลังซื้อลดลง นอกจากนี้ยังมีการใช้จ่ายบนโลกออนไลน์และมักรอซื้อสินค้าที่มีโปรโมชั่นมากขึ้น โดยผู้ประกอบการ SME ร้อยละ 70.3 มีแผนการรับมือการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แต่ส่วนใหญ่เป็นการปรับเชิงรับ โดยเฉพาะการเพิ่มผลิตภัณฑ์หรือปรับการให้บริการ ตามเทรนด์ความต้องการ การปรับรูปแบบการให้บริการ การจัดโปรโมชั่น เป็นต้น โดยมีข้อสังเกตว่าประเด็นท้าทายที่เกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคใหม่ๆในอนาคต SME ยังไม่พูดถึงมากนัก เช่น การสร้าง Branding ที่ยั่งยืน กลยุทธ์การขายในโลก online/platform ใหม่ๆ มาตรฐานหรือเทรนด์สินค้าในอนาคต Carbon Issue, AI, New Skills

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ SME คาดการณ์กำลังซื้อของผู้บริโภคปลายปี 2566 จะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และภาคการผลิต อาทิ การผลิตผลิตภัณฑ์จากพลาสติก ผลิตภัณฑ์จากโลหะและผลิตภัณฑ์จากยาง โดยเหตุผลหลักมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในช่วงเทศกาลปลายปีที่จะมีแรงกระตุ้นให้ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และความคาดหวังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล อาทิ มาตรการปรับลดค่าไฟฟ้า ค่าสาธารณูปโภค เพื่อลดต้นทุนในการประกอบการ

ส่วนความช่วยเหลือที่ SME ต้องการจากภาครัฐมากที่สุดคือ ด้านการลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย โดยการควบคุมราคาสินค้า/วัตถุดิบ ลดค่าไฟฟ้า และลดค่าน้ำมันเชื้อเพลิง รองลงมา คือ ด้านการกระตุ้นการใช้จ่าย โดยส่วนใหญ่คาดหวังให้มีมาตรการเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค ด้านภาระหนี้สินและเงินทุน โดยต้องการการเข้าถึงสินเชื่อที่ตรงกับความสามารถในการชำระคืนมากขึ้น รวมถึงนโยบายแก้ปัญหาหนี้สินเดิมทั้งในระบบสถาบันและหนี้สินนอกระบบ และด้านการเพิ่มศักยภาพและส่งเสริมธุรกิจ ส่วนใหญ่ต้องการให้ส่งเสริมความรู้ รวมถึงการทำตลาด เพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขันได้มากขึ้น ทั้งนี้การช่วยเหลือดังกล่าวควรดำเนินการทุกภาคธุรกิจควบคู่กันไป เพื่อให้ครอบคลุมและช่วยบรรเทาปัญหาที่ผู้ประกอบการ SME เผชิญอยู่ในปัจจุบันให้มีสถานการณ์ที่ดีขึ้น