วันที่ 2 ต.ค.2566 เวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สว. ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เจ้าของร้านอาหารที่ประเทศไอซ์แลนด์ไล่ออกจากร้านว่า วันที่เกิดเหตุพวกตนจะไปหาร้านอาหารรับประทาน จึงเข้าไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ระหว่างที่รอเลือกอาหารได้มีน้องคนหนึ่งวิ่งถือโทรศัพท์ไลฟ์สด เป็นลักษณะความโกรธ แต่โดยส่วนตัวเจอแบบนี้มาเยอะมาก สำหรับความเกลียดโดยที่เราไม่รู้จักกัน จึงรู้สึกแค่ว่าเห็นใจเขา เพราะเรื่องผ่านไประยะหนึ่งแล้ว และเรื่องนี้ไกลตัว ตนจึงไม่พูดอะไรและไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อรุ่งขึ้นกลายเป็นประเด็นใหญ่เพราะชายดังกล่าวเอาคลิปไปลงเอง ซึ่งทำให้ตนลำบาก เพราะสังคมไทยจะสู้กัน ส่วนเรื่องลาวามอสที่ตนไปถ่ายรูปนั้น ขอเรียนว่าเป็นความผิดพลาดของตนที่ไม่รู้ว่ามีระเบียบหรือมีกฎหมาย หากถามว่าตนรู้อะไรบ้างก็จะมีสารคดีบนเครื่องบิน เชิญชวนให้เที่ยวไอซ์แลนด์ ซึ่งจะมีคนนอนอยู่บนลาวามอส ตนจึงไม่ได้คิดอะไรมากและตรงไหนที่มีป้ายห้ามตนก็ไม่เข้าไป แต่บริเวณดังกล่าวมีที่จอดรถ และมีคนจอด พวกตนจึงเข้าไป ฉะนั้น เรื่องนี้ตนต้องขออภัย
"ทั้งหมดทั้งมวลหมอไม่คิดที่จะไปทำอะไรกับเขา เพราะตอนแรกเป็นเรื่องลับที่รู้กันแค่ 2 ฝ่าย แต่เมื่อสื่อเอาไปเปิดเผยก็เป็นเรื่องสังคม แต่ตัวหมอยังยืนยันเหมือนเดิมว่าใดๆในชีวิตทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะเราเคยทำ ฉะนั้นเราจึงไม่ตอบโต้ และเราจะมุ่งหน้าสู่เป้าหมายที่เราจะทำความดีเท่านั้นเอง"คุณหญิงพรทิพย์ กล่าว
เมื่อถามว่า ในวันที่เกิดเหตุได้มีการทำความเข้าใจกับบุคคลดังกล่าวหรือไม่ คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ในชีวิตตน ไม่เคยทำให้คนเกลียด สามารถพูดแล้วเปลี่ยนใจได้ แต่สิ่งที่เราเรียนรู้คือไม่รับมันเข้ามาให้เราทุกข์ แล้วเดินจากไปเฉยๆ ซึ่งตนก็ไม่ได้ชี้แจงอะไรกับเขา เพราะตอนแรกเขาพูดถึงสส. สว. แต่ตอนหลังเขาเข้ามาเจาะจงในตัวตนเลย แต่หากตนอยู่ต่อก็อาจจะมีการทำร้ายร่างกายก็ได้เพราะเขาชี้หน้าแล้วไล่ตนเหมือนหมูเหมือนหมา พูดทั้งอังกฤษและไทย โดยไล่ต่อหน้าคนรับประทานอาหารในร้าน
"ตอนเกิดเหตุหมอไม่ได้ตกใจอะไร เพราะตอนนี้หมออายุ 69 ปีแล้ว ผ่านอะไรแบบนี้มาเยอะ เราไม่เปิดประตูรับมัน มันก็ไม่เข้ามาทำร้ายเรา และคำสอนของพระที่เราจำเอาไว้เสมอคือพัสดุถ้าส่งแล้วไม่มีคนรับก็จะกลับไปสู่คนส่ง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สำหรับหมอก็ถือว่าจบ เพราะไม่คิดฟ้องและไม่ทำอะไร ขอเดินหน้าต่อ และทำความเข้าใจมากขึ้น แต่ส่วนที่สว. อาจต้องระมัดระวังคือเขาไม่แยกเรื่องพวกนี้แล้ว เขาคิดว่าจะเป็นตัวอย่าง ดังนั้นต้องระวัง"คุณหญิงพรทิพย์ กล่าว
เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่คนมีความเห็นต่างทางการเมืองแล้วทำแบบนี้ คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ต้องมองแบบเข้าใจทุกฝ่าย การเมืองในหลักๆที่ไม่ใช่การเมืองแบบคนรุ่นใหม่ มีเรื่องผลประโยชน์และเรื่องของอำนาจ มีเรื่องผิดปาก ผูกขาด ในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดแรงกดดันที่ไปห้ามเขาเอาไว้ แต่ทั้งหมดถ้าได้ฟังสิ่งที่ตนเคยพูดกับพรรคก้าวไกลว่าพร้อมโหวตให้ ขอเพียงอย่างเดียวคือการถอยเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เพราะสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับมาตรา 112 ประเด็นที่ถูกเอาไปใช้เป็นคนละส่วนกัน ซึ่งส่วนนี้ทำให้มีความแรงใส่กันทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งหากถามว่าจะทำอย่างไรต่อไป ตนก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่มีปัจจัยหลายอย่าง เพราะถ้าจะแก้ต้องแก้ที่ลึกสุดคือเรื่องระบบการศึกษา อย่าเชื่อสิ่งที่ตาเราเห็น หรือหูเราฟัง ถ้าเราไม่ได้ศึกษาและวิเคราะห์เอง เพราะถ้าเราฟังแล้วเห็นและเชื่อบางครั้งก็ไม่ใช่ของจริง
เมื่อถามว่า หลายคนมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นโดมิโน ที่จะเกิดขึ้นกับสว.คนอื่นอีกในอนาคต คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าเรื่องกรรมของแต่ละคนเป็นเรื่องของตัวเขาเอง แต่ในชีวิตตน มีหลายๆอย่างที่ไม่ได้เห็นแบบนั้นและในกรณีนี้เห็นว่า ตนอยู่เฉยๆไม่ต้องการให้สัมภาษณ์เป็นประเด็นกว้างต่อไป แต่กลายเป็นว่ามีผู้คนมากมายออกมาให้กำลังใจ และช่วยปกป้อง เหนือสิ่งอื่นใดปีนี้ครบ 20 ปีสึนามิ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะลืมไปแล้วเพราะเรื่องผ่านมานานแล้ว แต่ก็ยังมีคนมาพูด ซึ่งตนมองในมุมว่าสึนามิเป็นความงดงามของจิตอาสาของคนไทยตั้งแต่วัยเด็ก อาจจะทำให้กลับมาอีกก็ได้เพราะพลังของคนรุ่นใหม่ดี แต่เขาต้องเรียนรู้ว่าสังคมตอนนี้อาจทำให้ถูกเชื่อได้ง่าย จึงไม่ได้มองว่าเป็นโดมิโน
เมื่อถามว่า อยากฝากอะไรถึงกลุ่มคนที่อาจทำแบบนี้อีก คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ขอบอกตรงๆไปว่าเราต้องช่วยกัน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเราต้องป้องกันไม่ให้เกิดความก้าวร้าวและสุดท้ายจะลามให้เขาอาจจะโดนอะไร แต่สื่อต้องช่วยให้อยู่ในเส้น อย่าออกนอกแล้วไปขุดเรื่องอื่นซึ่งไม่ใช่ประเด็นหลัก ตนไม่ฝากอะไรถึงคนรุ่นใหม่ เพราะเชื่อว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปโดยธรรมชาติ แต่ทั้งหมดเป็นภาพสะท้อนว่าการเมืองหากเราเสพมันมากไป มันก็จะมากระทบทุกอย่าง แต่สำหรับตนขอขอบคุณที่ให้กำลังใจ