เวิลด์แบงก์หั่นจีดีพีไทยปี 66 เหลือโต 3.4% ท่องเที่ยว-บริโภคเอกชนหนุนแต่ส่งออกหดตัวกดดัน กังวลหนี้ภาคครัวเรือนประมาณ 80% ของจีดีพี สูงที่สุดในภูมิภาค

ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ออกรายงานอัพเดตสภาวะเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกฉบับล่าสุดวันที่ 2 ต.ค.โดยได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2566 ลดลงเหลือ 3.4% จากคาดการณ์เดิมในเดือน เม.ย.ที่ 3.6% นอกจากนี้ยังลดคาดการณ์จีดีพีของปีหน้าเหลือ 3.5% จากเดิมที่ 3.7% โดยระบุว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงตามหลังประเทศในกลุ่มอาเซียน และการส่งออกที่ลดลงเป็นความท้าทายที่เพิ่มขึ้น

โดยอัตราการเติบโตดังกล่าวนับเป็นตัวเลขที่เกือบต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก (ไม่รวมแปซิฟิก) เป็นรองเพียงแค่เมียนมา ที่เติบโตได้ 3.0% เท่านั้น อย่างไรก็ดี แม้คาดว่าจีดีพีของไทยในปีหน้า 2567 จะโตขึ้นได้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังเติบโตได้เมื่อเทียบกับหลายประเทศที่คาดว่าจะเติบโตลดลง โดยเฉพาะ "จีน" ที่คาดว่าจะเติบโต 5.1% ในปีนี้ ก่อนจะชะลอตัวลง 4.4% ในปีหน้า ตัวเลขดังกล่าวเป็นไปตามทิศทางภูมิภาค ซึ่งเวิลด์แบงก์ได้ปรับลดคาดการณ์จีดีพีของเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกปีนี้ลงมาอยู่ที่ 5% จากคาดการณ์เดิมที่ 5.1% ส่วนในปีหน้าจะเติบโตได้ 4.5% จากคาดการณ์เดิม 4.8%

ทั้งนี้ เวิลด์แบงก์ได้สรุปถึงประเทศไทยว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงตามหลังประเทศในกลุ่มอาเซียน และการส่งออกที่ลดลงเป็นความท้าทายที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2566 การบริโภคภาคเอกชนและการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของการท่องเที่ยว จะช่วยให้การเติบโตทางเศรษฐกิจขยายตัวขึ้นและลดความยากจนลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่ลดลงและการอุดหนุนด้านพลังงานจะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าครองชีพและการบริโภคภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนก็จะทำให้การรัดเข็มขัดทางการคลังล่าช้าออกไปด้วย ขณะที่หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ผลกระทบจากสภาพอากาศ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเช่นกัน

สำหรับตัวเลขหนี้สาธารณะที่มีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นนั้น นายอาดิตยา แมตทู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกของธนาคารโลก กล่าวว่า หนี้สาธารณะของไทยที่ปัจจุบันเพิ่มมาอยู่ในระดับประมาณ 60% ของจีดีพี ยังไม่ถือว่าเป็นระดับที่สุ่มเสี่ยงหรือเป็นปัญหา แต่ที่น่ากังวลกว่าก็คือ หนี้ภาคครัวเรือนที่สูงประมาณ 80% ของจีดีพี ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาค และน่าเป็นห่วงมากกว่าหนี้ของภาครัฐ

โดยในระยะกลาง ประเทศไทยจะเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่จำกัดศักยภาพในการเติบโต อุปสรรคเหล่านี้ได้แก่ สังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การสะสมเงินลงทุนไม่เพียงพอ การแข่งขันด้านการส่งออกที่มีศักยภาพลดลง และหนี้ครัวเรือนจำนวนมาก ขณะที่ความตึงเครียดทางการเงินจากภาวะหนี้ล้นมือและผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อครัวเรือนรายได้น้อยและครัวเรือนที่เปราะบางยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุการลดความยากจน