เศรษฐาแจงไม่รับเงินเดือน-เบี้ยประชุม บริจาคมูลนิธิฯ-กลุ่มเปราะบาง เป็นเจตนารมณ์ส่วนตัว บอกจ่ายภาษีก่อนบริจาค ด้านศาลฯพิพากษาจำคุก 'นิพนธ์' 9 ปี ละเว้นไม่จ่ายค่ารถซ่อมบำรุง เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 5 ปี
เมื่อวันที่ 28 ก.ย.66 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ขอส่งต่อเงินเดือนและเบี้ยประชุมของทุกเดือนที่ได้รับจากการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ตลอดการดำรงตำแหน่งให้มูลนิธิฯต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้เปราะบางที่ต้องการการช่วยเหลือ
นายชัย กล่าวว่า นายกฯ มีดำริว่า การให้ เป็นเรื่องที่ดี ตามแต่กำลังศรัทธาของแต่ละคน นายกฯจึงตั้งใจเริ่มที่ตัวเองก่อน ขณะที่รัฐบาลเองมีหลายนโยบายที่พยายามอย่างมากในการมุ่งสร้างประโยชน์สุขและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับคนไทย โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมทำให้เด็กที่มีความเสี่ยงหลุดออกจากระบบ ทั้งยังสามารถได้รับการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งทั้งหมดของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทั้งหมด หลังจากได้รับมาแล้วรวมเป็นเงิน 125,590 บาทต่อเดือน (เงินเดือนตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 75,590 บาท เงินประจำตำแหน่ง 50,000 บาท) ขอส่งต่อให้กับกลุ่มที่เปราะบาง ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ทันที แต่สิ่งที่ทดแทนไม่ได้ คือหน้าที่ของรัฐที่ต้องดำเนินการสนับสนุนมูลนิธิต่างๆ เป็นการช่วยเหลืออีกทางหนึ่งซึ่งทำได้เร็วกว่าการพึ่งระบบของรัฐที่ต้องใช้เวลา เพราะต้องอาศัยการทำผ่านพรบ. ต่างๆ ตามกลไกของรัฐสภาในการดำเนินการเพียงอย่างเดียว
สำหรับการคัดเลือกองค์กรที่จะได้รับความช่วยเหลือนั้น จะมีทีมงานเป็นผู้กำหนดเกณฑ์ โดยครั้งแรกจะบริจาคให้กับมูลนิธิเด็ก (FOUNDATION FOR CHILDREN) ช่วยเหลือเด็กด้านปัจจัยพื้นฐาน การดำเนินชีวิตและสวัสดิการต่าง ๆ ให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมทางร่างกาย สติปัญญาและจิตใจ รวมถึงทางด้านการศึกษา ที่สามารถช่วยให้เด็กเข้าระบบการศึกษาได้อย่างถูกต้องต่อไป อย่างที่แจ้งไว้ การส่งต่อเงินเดือนเป็นเพียงแค่ส่วนแรก ซึ่งนายกฯ พยายามที่จะหาโอกาสไปพบปะพูดคุยกับองค์กรกลุ่มต่าง ๆ เพื่อรับฟังเสียง รับทราบถึงปัญหา และความเดือดร้อนของมูลนิธิที่กำลังเผชิญอยู่ เพื่อที่จะได้หาแนวทางแก้ไขต่อไป
นายเศรษฐาทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์กรณีที่จะส่งต่อเงินเดือนและเบี้ยประชุมของทุกเดือนที่ได้รับจากการดำรงตำแหน่งนายกฯ และรมว.คลัง ตลอดการดำรงตำแหน่งให้มูลนิธิฯต่างๆ ว่า รับเงินเดือนมา แล้วจ่ายภาษี แล้วก็บริจาค ซึ่งเป็นความประสงค์ของตน ผู้สื่อข่าวถามว่าจะกลายเป็นการนำตัวอย่างให้กับรัฐมนตรีคนอื่นๆ ด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า "ไม่ใช่ครับ ไม่ได้ครับ แต่เป็นความประสงค์ส่วนตัว อย่าไปกดดันท่านอื่นเลย เพราะความจำเป็นส่วนตัวเขามีทุกคน"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในแง่ของกฎหมายได้มีการปรึกษาฝ่ายกฎหมายหรือไม่ ในกรณีที่บริจาคเงินเกิน 3,000 บาท จะผิดอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนกำลังให้ฝ่ายกฎหมายดูอยู่ ซึ่งทุกอันก็บริจาคไปตามมูลนิธิต่างๆที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว และช่วยเหลือภาคส่วนที่มีความต้องการความช่วยเหลือ ถือเป็นเจตนารมณ์เท่านั้น เมื่อถามว่า ถือเป็นสิ่งที่ทำมาก่อนจะมาดำรงตำแหน่งนายกฯ ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็พยายามจะทำต่อไปแต่ไม่อยากพูดเยอะ เดี๋ยวจะหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ตนคิดว่าเงียบๆไปจะดีกว่า
นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาของนายกฯ ด้านกฎหมาย ให้สัมภาษณ์เรื่องเดียวกันว่า โดยหลักการแล้วการทำงานในตำแหน่งต่างๆ ของนายเศรษฐาต้องได้รับเงินเดือน เมื่อได้รับมาแล้วก็ถือเป็นทรัพย์สินของนายกฯ และนายกฯก็ส่งต่อให้กับมูลนิธิต่างๆ เพื่อการกุศล ทั้งเด็กด้อยโอกาส ผู้พิการซ้ำซ้อน ซึ่งก็จะเฉลี่ยกันกันไป โดยไม่เกี่ยวกับองค์กรที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการเมือง ซึ่งสามารถทำได้ เพราะไม่ได้อยู่ในช่วงเลือกตั้งที่กฎหมายห้ามไว้ ต่างจากการรับทรัพย์สินต่างๆ ที่กฎหมายเขียนห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐรับ
ส่วนตัวมองว่าการบริจาคให้กับมูลนิธิต่างๆเช่นนี้ เป็นการแสดงออกถึงความ ทุ่มเท ทำงาน ให้กับประเทศชาติอย่างเต็มที่โดยไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ เพราะทุกคนทราบดีว่าก่อนที่นายเศรษฐา จะเข้ามาสู่การเมืองมีความพร้อมในเรื่องนี้แล้ว ถือเป็นการส่งมอบโอกาสให้กับประชาชนคนไทย และเป็นตัวอย่างให้นักการเมืองได้ทุ่มเทเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
ด้าน นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช และรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวว่าสมาชิกพรรคบางส่วนและอดีตส.ส.จะไปจดตั้งพรรคใหม่เพื่อดัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นหัวหน้าพรรคดังกล่าว ว่า เพิ่งทราบข่าวผ่านสื่อมวลชน ซึ่งไม่ทราบว่าแหล่งข่าวมาจากไหน เพราะในพรรคไม่มีการพูดคุยว่าใครจะย้ายออกจากพรรค หรือไปตั้งพรรคใหม่ แต่เท่าที่อ่านในข่าวบอกว่ามีกลุ่มหนึ่งจะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองอีกกลุ่มหนึ่งจะไปตั้งพรรคใหม่ เท่าที่ตนยืนยันได้ส.ส.ทั้ง 25 คน ในปัจจุบัน ไม่มีใครที่จะย้ายพรรคและไปตั้งพรรคใหม่ ส่วนอดีตสมาชิกตนไม่ทราบเพราะบางคนก็ไม่ได้พูดคุย แต่เท่าที่พูดคุยกันส่วนใหญ่ไม่มีใครมีความคิดแบบนี้
เมื่อถามถึงการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ในครั้งที่ 3 จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ นายชัยชนะ กล่าวว่า ภายในต้นเดือนต.ค.จะมีการประชุมกรรมการบริหารชุดรักษาการ เพื่อกำหนดแนวทางในการประชุมเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ อาจจะมีการหารือและขอมติจากที่ประชุมกรรมการบริหารชุดรักษาการว่าเราจะหาทางอย่างไรให้มีการประชุมเลือกกรรมการบริหารชุดใหม่ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีองค์ประชุมครบ ดังนั้นตนคิดว่าภายในเดือนต.ค.หรือช้าสุดไม่เกิดต้นเดือนพ.ย. ต้องได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ อย่างไรก็ตามบุคคลที่จะเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ยังคงเป็นชื่อของ นายนราพัฒน์ แก้วทอง รักษาการรองหัวพรรคเหมือนเดิม
วันเดียวกัน ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดฟังคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) โจทก์ นายนิพนธ์ บุญญามนี อดีตนายกอบจ.สงขลา จำเลย ข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยหยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยจนกว่าจะมีคำพิพากษา ให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ และขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของจำเลยและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี
ชั้นรับฟ้อง จำเลยลาออกจากตำแหน่งรมช.มหาดไทย ตั้งแต่วันที่5 ก.ย.65 ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง จึงไม่จำต้องมีคำสั่งให้จำเลยหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษาและให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือไม่ เห็นว่า ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิก จ่ายเงิน การฝากเงินการเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2547 ว่าด้วยการซื้อเช่าทรัพย์สิน หรือจ้างทำของ ให้หน่วยงานผู้เบิกรีบดำเนินการวางฎีกาเบิกเงินโดยเร็วอย่างช้าไม่เกินห้าวันนับจากวันที่ได้ตรวจรับทรัพย์สินหรือตรวจรับงานถูกต้อง ข้อ 6 วรรคหนึ่ง ให้หัวหน้าหน่วยงานคลังหรือเจ้าหน้าที่การเงินที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ตรวจฎีกา ข้อ 62 ฎีกาที่ตรวจถูกต้องแล้วตาม ข้อ 6 ให้หัวหน้าหน่วยงานคลังหรือเจ้าหน้าที่การเงินที่ได้รับมอบหมายนำเสนอผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้ที่บริหารท้องถิ่นมอบหมายเป็นผู้อนุมัติฎีกา และข้อ 64 การอนุมัติฎีกาเบิกเงินเพื่อจ่ายเป็นค่าซื้อทรัพย์สินหรือจ้างทำของ ในกรณีที่ไม่มีเหตุทักท้วง ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสามวันทำการนับถัดจากวันรับฎีกา ในกรณีที่มีเหตุทักท้วงให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสามวันทำการนับถัดจากวันที่ผู้เบิกได้แก้ไขถูกต้องแล้ว
แม้โจทก์ไม่มีฎีกาซึ่งหัวหน้าหน่วยงานคลังหรือเจ้าหน้าที่การเงินนำเสนอจำเลยพิจารณาเป็นหลักฐาน คงมีเพียงบันทึกส่วนราชการ ฝ่ายจัดหาพัสดุและทรัพย์สิน กองพัสดุและทรัพย์สิน เสนอจำเลยว่า ผู้ขายจดทะเบียนรถใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 6 ก.พ.57 กองพัสดุและทรัพย์สินได้ส่งเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายให้กองช่าง และผู้ขายมีหนังสือแจ้งว่ายังไม่ได้รับการเบิกจ่ายเงินเสนอจำเลยเพื่อทราบ
พฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยเห็นควรยื่นแบบคำขอจดทะเบียนรถใหม่แก่สำนักงานขนส่งจังหวัดสงขลา และมอบอำนาจให้ผู้ขายเป็นผู้ดำเนินการโอนทะเบียนแทนผู้ซื้อ และลงนามหนังสือถึงขนส่งจังหวัดสงขลา แสดงให้เห็นว่าจำเลยรู้ข้อเท็จจริงดีว่าผู้ซื้อมีหน้าที่มอบอำนาจให้ผู้ขายเป็นผู้ดำเนินการโอนทะเบียนแทนผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขาย ก่อนดำเนินการเบิกจ่ายเงินตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงินและการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2547 และรู้ว่า คณะกรรมการตรวจรับพัสดุ เห็นว่าการตรวจรับพัสดุนั้นมีปริมาณและคุณภาพถูกต้องครบถ้วนรับพัสดุไว้แล้วมอบแก่เจ้าหน้าที่พัสดุ ลงบัญชีครุภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับทำใบตรวจรับพัสดุมอบให้แก่ผู้ซื้อเป็นหลักฐานประกอบการขอรับเงินตามสัญญาและระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงินการเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อ 6 เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2535 ข้อ 64 (4)
มีเจตนาโดยตรงเพื่อประวิงเวลาให้ผู้ขายไม่สามารถดำเนินการโอนทะเบียนและไม่สามารถรับการชำระเงินตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิก จ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2547 เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ขายและองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และข้อต่อสู้อื่นๆ ของจำเลยเกี่ยวกับการกระทำอันอาจมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 เป็นมูลเหตุจูงใจภายหลังการกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวแล้ว และไม่ได้เป็นเหตุที่จำเลยยกขึ้นโต้แย้งผู้ขายในขณะที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่สั่งการให้ทดลองหรือตรวจสอบในทางเทคนิคและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไม่มอบอำนาจให้ผู้ขายดำเนินการโอนทะเบียนให้กับผู้ซื้อตามสัญญาซื้อขาย ตั้งแต่ต้นจึงไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้มีผลคดีเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
ส่วนที่โจทก์ขอให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยนั้น เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และไม่ได้กระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยตรงจึงเห็นสมควรเพิกถอนเฉพาะสิทธิ สมัครรับเลือกตั้งของจำเลย
อนึ่ง ภายหลังการกระทำความผิด ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26 ) พ.ศ. 2570 มาตรา 7 ให้ยกเลิกอัตราโทษในมาตรา 157 และให้ใช้อัตราโทษใหม่ แต่กฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายเดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) จำคุก 9 ปี และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนดเวลา 5 ปี คำขออื่นให้ยก