"ม.หอการค้า" หั่นจีดีพีปี 66 เหลือโต 3% หลังส่งออกหด ชี้นโยบายเศรษฐา 1 คาดหนุน Q4/66 เงินสะพัด 7.2 หมื่นล้านบาท

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ม.หอการค้าไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ จะขยายตัวได้ 3.0% ซึ่งลดลงจากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 3.6% โดย 0.6% ที่หายไปนั้น เป็นผลมาจากภาคการส่งอออกสินค้าที่ลดลงเป็นสำคัญ รวมถึงกำลังซื้อของประชาชนที่หายไป นอกจากนี้การใช้จ่ายภาครัฐที่ลดลงจากผลของการลงทุนภาครัฐที่หายไปในช่วงที่ผ่านมาด้วย แต่เศรษฐกิจไทยยังโชคดีที่ได้เรื่องการท่องเที่ยวเข้ามาช่วยเสริม

"ขณะนี้ให้ไว้ที่ 3% ต้องรอดดูแนวนโยบายของรัฐบาลในช่วงใกล้ปีใหม่ที่อาจจะออกมาเพิ่มเติม และรัฐบาลอาจจะสร้างความเชื่อมั่นเพิ่มเติมผ่านการไปโรดโชว์ การส่งเสริมการลงทุน เรารอดูว่ารัฐบาลจะสร้างความเชื่อมั่นและความโดดเด่นได้มากน้อยแค่ไหน ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังอึมครึมไม่ชัดเจน เราจึงยังสงวนไว้เพื่อรอดูอีก 1 ไตรมาส แต่เรามองว่าความเชื่อมั่นประชาชนน่าจะเริ่มดีขึ้น" นายธนวรรธน์กล่าว

ทั้งนี้ยังประเมินในเบื้องต้นว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะเติบโตได้ดีกว่าปีนี้ โดยจะสามารถขยายตัวได้ 4.5-5% หรือค่ากลางที่ 4.8% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2.5-3% แต่ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 1-3% เชื่อว่าการที่เศรษฐกิจปีหน้าจะเติบโตได้ดีนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเม็ดเงินที่จะเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 5.6 แสนล้านบาทถ้าเกิดขึ้นได้จริง ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินจากการใช้จ่ายของประชาชนเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้หลายรอบ ประกอบกับสัญญาณด้านการท่องเที่ยวที่โดดเด่นมากขึ้น โดยคาดว่าปีหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางเข้าไทยถึง 35 ล้านคน ซึ่งในส่วนนี้จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าประเทศเพิ่มขึ้นจากรายได้การท่องเที่ยว

โดยเม็ดเงินในการใช้จ่ายของประชาชนจากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต จะเข้ามาสะพัดในระบบเศรษฐกิจประมาณไตรมาส 2 ของปี 67 เรามองว่าจะมีผลช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้นได้อีก 2% เชื่อว่าในช่วงการบริหารงานของรัฐบาลช่วง 4 ปีจากนี้จะช่วยทำให้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนลดลงมาอยู่ที่ระดับ 80% ต่อจีดีพีได้ โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆให้แก่ทั้งภาคประชาชน เกษตรกร และภาคธุรกิจ ซึ่งระดับหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่ 80% ถือว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย

นายธนวรรธน์กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 2.50%  ถือว่าเซอร์ไพร์สตลาดพอสมควร ทั้งนี้ เชื่อว่าการตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ กนง.ให้น้ำหนักในประเด็นที่ช่วงนี้เงินไหลออกค่อนข้างมาก ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เป็นผลดี ดังนั้นการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยแก้ในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไทยกับต่างประเทศแคบลง ช่วยลดกรณีที่เงินจะไหลออกไปต่างประเทศ ประกอบกับการขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นส่วนที่ช่วยสนับสนุนการออมในระยะยาว

"กนง.คงจะได้ข้อมูลในเชิงลึกมาว่า การขึ้นดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่ควรจะทำ แต่ในด้านของประชาชนอาจจะมองไม่เห็น เราต้องเคารพการตัดสินใจของ กนง.ในส่วนนี้นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว จึงทำให้ กนง.กล้าตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจในประเทศยังไปได้ และภาคธุรกิจยังสามารถรับได้" นายธนวรรธน์กล่าว

นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชน เกษตรกร รวมถึงการลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการว่า หากรวมทั้ง 3 มาตรการเร่งด่วนคือ การลดค่าไฟฟ้า ลงเหลือ 3.99 บาท/หน่วย,การปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลง 2.50 บาท/ลิตร และการพักชำระหนี้ให้เกษตรกร 2.7 ล้านราย รวมยอดหนี้ 2.83 แสนล้านบาทนั้น ทั้ง 3 มาตรการนี้คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ช่วยประหยัดรายจ่ายลงไปได้รวมแล้วประมาณ 4.9 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะมาตรการลดค่าไฟฟ้าที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนลงได้มากถึง 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจากมาตรการลดค่าครองชีพทั้ง 3 ส่วนดังกล่าวจะทำให้เม็ดเงินในส่วนนี้ สามารถผันกลับมาเป็นกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น มีผลต่อมูลค่าจีดีพีประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้เพิ่มขึ้นอีก 0.43%