บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ตอกย้ำเจตนารมณ์ผลักดันนโยบายความยั่งยืน เดินหน้าขยายเส้นทางการเดินรถบรรทุกพลังงานสะอาดหรืออีวีทรัค (EV Truck) พร้อมเผย 1 ปีที่ผ่านมาสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปมากกว่า 456 ตัน หลังนำรถบรรทุกที่ใช้ระบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อน 100% เข้ามาเสริมแกร่งระบบโลจิสติกส์ ขนส่งสินค้าไปยังร้านค้าในเครือกว่า 21 สาขา ซึ่งนับเป็นต้นแบบให้องค์กรภาคเอกชนและวงการธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง และสินค้าตกแต่งบ้านในประเทศไทยหันมาให้ความสำคัญกับการนำรถยนต์พลังงานสะอาดมาใช้และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการทั่วโลกต่างให้ความสนใจในการนำรถขนส่งพลังงานสะอาดมาใช้กันมากขึ้น ด้วยปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม และยังทำให้หลายประเทศออกมาตรการกำกับการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง โดยไทวัสดุในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านอย่างครบวงจรในภูมิภาคเอเชียได้ให้ความสำคัญในเรื่องความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด ตามเจตนารมณ์ของบริษัทเซ็นทรัล รีเทล ที่มีเป้าหมายการเป็นผู้ค้าปลีกยั่งยืน ปัจจุบันจึงมีแผนเดินหน้าขยายเส้นทางการเดินรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า ประเภทอีวีทรัค : EV Truck เพิ่มเติมจากเดิม 21 สาขาสู่ 60 สาขา พร้อมเพิ่มจำนวนรถในทุก ๆ ปี โดยภายในสิ้นปี 2566 มีแผนเพิ่มอีก 5 คัน เพื่อเสริมแกร่งนโยบายด้านความยั่งยืน นอกจากนี้ยังคาดว่าจะมีการขยายสถานีชาร์จ ไปยัง 4 ภูมิภาค คือ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคตะวันออก และให้ครบ 5 ภูมิภาคภายในปี 2567
“การสนับสนุนสินค้าที่มุ่งด้านความยั่งยืน และกระบวนการทางธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนมุมมองของผู้บริโภคให้เป็นไปในเชิงบวก ซึ่งในปัจจุบันไทวัสดุมีการจำหน่ายสินค้าที่ไม่สร้างภาระให้กับสิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนมาก โดยได้กระจายสินค้ารักษ์โลกไปยังไทวัสดุสาขาต่าง ๆ ทั่วประเทศเพื่อให้คนไทยเข้าถึงสินค้าวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น อีกทั้งการปรับระบบขนส่งเข้ามาสู่รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า มั่นใจว่าจะทำให้ความเชื่อมั่นด้านความเป็นแบรนด์เป็นธุรกิจรักษ์โลกจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น และเป็นต้นแบบให้ภาคส่วนต่าง ๆ - คู่ค้าหันมาปรับเปลี่ยนกระบวนการต่าง ๆ ให้มีความยั่งยืนด้วยเช่นเดียวกัน”
นางปริยวดี ประจวบเหมาะ Head of Supply Chain and vFIX บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า หลังจากที่ได้นำอีวีทรัคเข้ามาใช้ในระบบโลจิสติกส์ - ซัพพลายเชนของไทวัสดุมามากกว่า 1 ปี พบว่าเป็นการลงทุนที่สร้างประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน แม้ปัจจุบันราคาของรถอีวีทรัคจะค่อนข้างสูงกว่ารถบรรทุกดีเซล แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประสิทธิผลที่ได้รับถือว่าคุ้มค่า เพราะไม่เพียงแต่เข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายในการการเติมเชื้อเพลิง และการดูแลรักษาระบบเครื่องยนต์ที่ลดลงไปกว่า 16% ต่อปีแล้ว แต่ยังมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปได้กว่า 456 ตัน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 20,976 ต้น ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับเส้นทางในการเดินรถเพื่อขนส่งสินค้า ตลอดจนกลุ่มคู่ค้าที่เข้ามาจำหน่ายสินค้ากับไทวัสดุให้มั่นใจกับการกระจายสินค้าที่มีส่วนช่วยเสริมนโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมในองค์กร โดยจากการปรับเปลี่ยนมาใช้รถอีวีทรัคยังพบประสิทธิภาพที่สำคัญดังนี้
• สมรรถนะการขนส่งเทียบเท่ารถบรรทุกดีเซล – ไทวัสดุ เป็นเจ้าเดียวในประเทศไทย ที่ใช้อีวีทรัคในลักษณะรถพ่วงแม่ลูก ขนาดใหญ่ ทำให้สามารถขนส่งสินค้าได้ 24 พาเลทเทียบเท่ากับรถเครื่องยนต์ดีเซล ระยะทางในการเดินรถต่อการชาร์จ 1 ครั้งจะอยู่ที่ 250 – 400 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับน้ำหนักในการบรรทุกสินค้า โดยอีวีทรัคนี้มีอัตราการเร่งสูงถึง 80 กม./ชม. และสามารถวิ่งผ่านเส้นทางลาดชันได้อย่างปลอดภัย
• เต็มมาตรฐานความปลอดภัย – มอเตอร์ไฟฟ้าของรถอีวีทรัคไทวัสดุ จะมีระบบกันน้ำ ทำให้สามารถลุยน้ำลุยฝนได้อย่างปกติ โดยมอเตอร์มีอายุการใช้งานได้ถึง 10 ปี หมดกังวลเรื่องไฟฟ้ารั่วไหล นอกจากนี้ยังได้มีการติดเซนเซอร์รอบคันเพื่อส่งสัญญาณเตือน เมื่อเดินรถด้วยความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม. เพื่อให้คนโดยรอบทราบว่ามีรถกำลังเคลื่อนที่มาเพื่อป้องกันอันตรายจากความเงียบของเสียงเครื่องยนต์ ทั้งนี้ ก่อนการเดินรถจะมีการตรวจเช็ครถและคนขับ ให้อยู่ในคอนดิชันที่ตรงตามมาตรฐานทุกครั้งก่อนการออกเดินรถ เรียกได้ว่ารับรองได้ถึงความปลอดภัยทั้งพนักงานขับรถ สินค้า และผู้ร่วมทางสัญจรโดยรอบ
“แผนการขยายการเดินรถอีวีทรัคในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายของบริษัทเซ็นทรัล รีเทล ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 ด้วยการปรับมาใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดผ่านการดำเนินงานควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้คู่ค้าและผู้บริโภคร่วมกันสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนไปพร้อมกัน” นางปริยวดีกล่าว