เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 21 กันยายน 2566 255ที่รัฐสภา มีการประชุมตัวแทนพรรคการเมือง ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 เป็นประธานการประชุม เพื่อจัดสรรโควต้าคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ว่า พรรคการเมืองใดจะได้ประธาน กมธ.ชุดใด โดยมีตัวแทนจากพรรคการเมืองต่างๆ เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง อย่างไรก็ตาม สำหรับการประชุมจัดสรรโควต้า กมธ.นั้น มีการพิจารณามาแล้ว 2 ครั้ง แต่ยังไม่ได้ข้อยุติ ทำให้ต้องมีการพิจารณาครั้งที่ 3 ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้มีการเตรียมกล่องสี่เหลี่ยมใส บรรจุไข่สีทอง จำนวน 35 ใบ และสีน้ำเงินจำนวน 8 ใบ

โดย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวก่อนเริ่มการประชุมว่า อยากให้แต่ละพรรคถอยคนละก้าว เพื่อจะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งในฐานะที่พรรค พท. เป็นพรรคอันดับ 2 และได้ กมธ. 10 คณะ แต่พรรค พท.ขอ กมธ.หลักๆ 2 คณะ ที่เหลือ 8 คณะเรายอมก็ได้ ก็ขอให้ถอยกันมาแล้วดูว่าหลักๆ เราจะเอาอะไร และที่เหลือจะตกลงกันได้ ซึ่งก็ถือว่า เราใจกว้างมากแล้ว และคิดว่า แต่ละพรรคต้องถอย ไม่เช่นนั้นการเจรจาวันนี้ก็จะไม่สำเร็จ

ขณะที่ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า การเจรจาที่ผ่านมา เรามีการถอยให้กันบ้าง และเห็นด้วยกับนายวิสุทธิ์ว่า วันนี้ภายในห้องต้องมีการจบกันให้ได้ และวันนี้ ส.ส.ระยอง พรรค ก.ก.ได้ปฏิญาณตนแล้ว โดยรวม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งยังคงสถานะ ส.ส.อยู่ จะทำให้สถานะประธาน กมธ.ของพรรค ก.ก.จากที่ได้ 10 คณะ เพิ่มมาเป็น 11 คณะ ดังนั้น ยืนยันว่า เราต้องได้ 11 คณะ ตามจำนวนที่สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคำนวณมา

จากนั้น ที่ประชุมได้เชิญสื่อมวลชนออกจากห้อง เพื่อขอประชุมเป็นการภายใน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมผ่านไปเพียง 30 นาที ที่ประชุมได้สั่งพักการประชุมเพื่อให้ทุกพรรคไปพูดคุยตกลงกันให้เรียบร้อยก่อน แล้วกลับเข้าที่ประชุมอีกครั้ง เนื่องจากเหลืออยู่ 3 คณะที่ยังตกลงกันไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมได้มีการถกเถียงเรื่องจำนวน ส.ส.ของพรรค ก.ก.ที่ได้เพิ่มจากระยอง ทำให้พรรค ก.ก. จะได้ กมธ.เพิ่มมา 1 คณะ และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ลดลงไปเหลือ 2 คณะ

ทำให้นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี โฆษกพรรค รทสช. ได้หยิบยกกรณีของนายพิธา ที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ว่า ไม่ควรนำมารวมด้วย แต่ฝ่ายกฎหมายยืนยันว่า แม้นายพิธาจะหยุดปฏิบัติหน้าที่แต่ยังเป็น สส.อยู่ จึงสามารถนำมาคิดคำนวณ กมธ.ได้ แต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จึงทำให้พรรค ก.ก.ได้ กมธ. 11 คณะ พรรค รทสช.ได้ กมธ. 2 คณะ