วันที่ 20 ก.ย. 2566 ที่รัฐสภา นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตสส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะที่ปรึกษารองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 แถลงถึงกรณีการโพสต์ ข้อความเดินทางไปที่บ้านของผู้ใช้เฟซบุ๊ก “ปีใหม่ ปีใหม่” ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ที่สถานที่ทำงาน และบ้านพัก จนทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการคุกคาม ว่า ต้องขออภัยที่อาจทำให้สังคมโซเชียลมีเดียเกิดความรู้สึกในทางลบ สิ่งที่เกิดขึ้นในทางสังคม และกฎหมาย ตนยินดีน้อมรับถ้าจะมีเรื่องทางกฎหมายต่อไป และส่วนตัวจะดำเนินทางกฎหมายด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากอาการเหลือทนที่ถูกกระทำมายาวนาน คนที่ไม่ได้ใช้ชื่อจริงเปิดบัญชีใช้พื้นที่ทางสังคมปั่นกระแสข่าวเท็จ ด่าทอ โจมตี ใส่ร้ายคนอื่นอย่างไม่มีเหตุผล ตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน ซึ่งมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมากจากเพจที่เป็นปัญหาซึ่งเป็นเพจอินฟูเอนเซอร์ มีหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่กดติดตาม กดไลค์ กดเลิฟ เป็นเพจที่ไม่ทราบตัวตน แตกต่างจากบางเฟซบุ๊กที่มีนายแบก นางแบก ซึ่งแบบนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เช่น คำผกา หมออั้ม เป็นต้น เพราะเป็นชื่อจริงมีตัวตนจริง แต่กรณีที่เกิดขึ้นไม่มีตัวตน เป็นบุคคลปริศนา ไม่มีใครทราบความจริง และมีการพยายามแสดงตัวตนให้เป็นคนใกล้ชิดคนใหญ่คนโต นายตำรวจใหญ่ ทำให้คนเกรงใจ จนใส่ร้ายป้ายสีใครก็ทำโดยสะดวก
นางอมรัตน์ กล่าวต่อว่า ล่าสุดถึงจุดที่ทนไม่ไหวคือเอาภาพตนไปตัดต่อกับกำนันนก ถือว่าเป็นความผิดฐานนำข้อทูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เนื่องจากทำให้เข้าใจผิดว่าตนเกี่ยวพันกับมาเฟีย ตนทนไม่ไหว พอได้รับเบาะแสว่าเพจดังกล่าวมีตัวตนแต่ไม่แสดงออก ในฐานะผู้ถูกกระทำเป็นเหยื่อต่อเนื่องยาวนาน ก็มีความรู้สึก จึงได้เช็คสถานที่ทำงานว่าเป็นพนักงานบริษัทจริงหรือไม่ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลจึงตรวจสอบหลักฐาน ว่าพนักงานใช้เวลาทำงานโพสต์หรือไม่ และได้มีการแอดไลน์กัน เพื่อส่งหลักฐานไป
"ช่วงบ่ายวันนั้น ดิฉันกลับบ้านที่นครปฐม และเห็นว่าโรงงานดังกล่าวเป็นทางผ่าน จึงแวะเพื่อต้องการสอบถาม โดยดิฉันเข้าไปคนเดียว มีการแลกบัตรเข้าโรงงานอย่างถูกต้อง มีผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ผู้บริหาร ให้การต้อนรับเชิญพูดคุย ไม่มีการพูดจาคุกคาม ใช้อำนาจบาดใหญ่ ดิฉันสอบถามว่าได้เช็คให้แล้วใช่หรือไม่ ได้รับคำตอบว่าเช็คแล้วและเจ้าตัวยอมรับ ทางบริษัทจึงตักเตือนไปว่าหากสร้างประเด็นทางสังคมก็ไม่สมควร บริษัทจึงลงความเห็นว่าทำหนังสือตักเตือนตามระเบียบบริษัท และให้ภาคทัณฑ์ 1 ปี ซึ่งเข้าตัวยินยอมลงชื่อในหนังสือตักเตือน สิ่งที่ตนทำเป็นมาตรการทางสังคม ไม่ใช่การคุกคาม ข่มขู่ เข้าไปอย่างถูกต้องติดต่อกันก่อน พูดคุยกันสุภาพ" นางอมรัตน์ กล่าว
นางอมรัตน์ กล่าวด้วยว่า ส่วนเหตุที่ตนโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย เพราะคิดว่าต้องใช้มาตรการทางสังคมกับบุคคลที่ไม่มีตัวตนด้วย และไม่ว่าส่วนไหนจะผิดกฎหมาย ก็ยินดีต่อสู้ตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่ส่วนตัวมองว่า การเปิดเผยข้อมูลอยู่ในกรอบที่ไม่เข้าข่ายตามพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือ กฎหมาย pdpa เพราะตนไม่ได้บอกชื่อจริง เลขบัตรประชาชน ทะเบียนรถ บ้านเลขที่ และพิกัดหมู่บ้านที่ชัดเจน ฉะนั้น เรื่องนี้ก็ไปว่ากันในชั้นศาล แต่ทางสังคมคือตนถูกกระทำจนทนไม่ได้จนต้องปกป้องตัวเอง และมองว่าตนเป็นเหยื่อ ที่ถือว่าปกป้องตัวเอง และคนอื่นๆ แต่หากมองว่าผิดพลาดก็ยอมรับได้ หากสังคมจะตัดสินอย่างไรก็น้อมรับ
เมื่อถามว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกระทบตำแหน่งของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร 1 ด้วย นางอมรัตน์ กล่าวว่า ถ้ากระทบยินดีน้อมรับ แล้วแต่รองประธานสภาฯ คนที่ 1 จะพิจารณา ยืนยันว่า ตนทำอย่างมีสติ หากการตอบโต้เกินเลยพร้อมรับผิดชอบ ส่วนตนจะออกจากตำแหน่งที่ปรึกษารองประธานสภาฯ คนที่ 1 หรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนแต่งตั้งรับได้ทั้งนั้น อยู่ที่ไหนก็ทำงานได้ อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่ได้คุยกับพรรค ยังไม่เจอใคร แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะทำด้วยสติ และคิดว่าคุ้มค่า เหมือนเป็นไฟฉายส่องแสงให้เห็นว่าใครเป็นใคร เพื่อป้องปรามไม่ให้คนนี้ทำร้ายใครด้วยการโพสต์ เพราะถ้าปล่อยให้อยู่ในมุมมืดก็จะทำไปอีกเรื่อยๆ
เมื่อถามว่า ที่บอกว่าเป็นมาตรการทางสังคม คือการล่าแม่มดหรือไม่ นางอมรัตน์ กล่าวว่า แล้วแต่จะมอง ต้องมองว่าทำกับใคร การล่าแม่มดต้องดูดีกรี ดูเวลาด้วยว่าระดับไหนที่จะเรียกว่าล่าแม่มด ยกตัวอย่างว่าเราบริสุทธิ์ แล้วคสช.มาตามล่า แบบนี้เราคือเหยื่อ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก้ำกึ่งว่าใครตกเป็นเหยื่อกันแน่ ซึ่งเกมพลิกทั้งที่ส่วนหนึ่งเราเป็นเหยื่อ อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าไม่กังวล รู้สึกคิดถูกที่ส่องแสงไปให้ผู้คนที่ไม่รู้ตัวตนได้แสดงตัว ซึ่งทราบว่าแกนนำบางพรรคกดอันฟอลโล่แล้ว
เมื่อถามว่า ถ้าเจ้าตัวมาขอโทษจะให้อภัยจบจริงๆได้หรือไม่ นางอมรัตน์ กล่าวว่า ตอนนี้หายโกรธแล้ว เราได้เปิดโปงตัวตนให้สังคมแล้ว วันหลังไปทำร้ายใครอีกก็จะรู้ว่าเป็นใคร หากขอโทษก็รับ ไม่โกรธแล้ว แต่ต้องแยกว่าเราคุกคามจริงหรือไม่
เมื่อถามว่านายนิยม นพรัตน์ หรือ เค สามถุย ยื่นประธานสภาฯ ให้สอบจริยธรรมด้วย นางอมรัตน์ กล่าวว่า ก็ทำไป ตนไม่ได้เป็นสส.แล้ว แต่เป็นที่ปรึกษารองประธานสภาฯ ก็ว่าไปตามกระบวนการ