บมจ.พริมา มารีน (PRM) เดินหน้าขยายกองเรือ เตรียมรับมอบเรือขนส่งปิโตรเคมีเพิ่ม 1 ลำ ในเดือนตุลาคมนี้ รองรับอุตสหากรรมปิโตรเคมีที่อยู่ในช่วงขยายตัว  ด้านผู้บริหาร "วิริทธิ์พล จุไรสินธุ์" ย้ำแผนกลยุทธ์ในช่วงที่เหลือของปี เน้นธุรกิจเรือขนส่งปิโตรเคมี และเรือกลุ่ม Offshore Support หลังความต้องการเรือกลุ่มนี้อยู่ในช่วงขยายตัว พร้อมมองโอกาสซื้อเรือเพิ่มอีก มั่นใจสนับสนุนรายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ตามแผนงานที่วางไว้

นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) (PRM) เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมรับมอบเรือขนส่งปิโตรเคมีเพิ่ม 1 ลำ ในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการลงทุนขยายกำลังการผลิตของกลุ่มโรงกลั่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นไปตามแผนธุรกิจของบริษัทฯ และคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังน่าจะเติบโตตามแผน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจขนส่งน้ำมันและปิโตรเคมีเหลวในประเทศ  (Domestic Trading) ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปริมาณการใช้น้ำมันในประเทศสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม JET-A1 ที่ฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว และการขยายกองเรือในกลุ่มเรือขนส่งปิโตรเคมี ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ มีการลงทุนเรือในกลุ่มนี้แล้วจำนวน 2 ลำ ในปีนี้ โดยลำแรกเริ่มเข้าให้บริการแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา และล่าสุด บริษัทฯ กำลังดำเนินการซื้อเรือขนส่งปิโตรเคมีขนาด 11,000 DWT เพิ่มเติมอีก 1 ลำ ซึ่งคาดว่าจะส่งมอบเรือในเดือนตุลาคมนี้

สำหรับแผนธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเน้นการขยายตัวใน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ 1.เรือขนส่งปิโตรเคมี เพราะยังมีมุมมองเป็นบวกในเรื่องความต้องการใช้เรือขนส่งปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตของโรงกลั่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และความต้องการใช้ปิโตรเคมีที่เพิ่มมากขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ 2. ธุรกิจเรือกลุ่ม Offshore Support เนื่องจากบริษัทฯ มองว่าความต้องการใช้เรือในกลุ่มนี้ยังมีอีกมาก สอดคล้องสภาวะอุตสาหกรรมการสำรวจและผลิตน้ำมันในอ่าวไทยอยู่ในช่วงขยายตัวสอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยนอกเหนือจากเรือ Crew Boat จำนวน 2 ลำที่ได้สั่งต่อไปแล้ว  บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนเรือในกลุ่มนี้เพิ่มเติม ทำให้มั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%  จากปีก่อนตามเป้าหมายที่วางไว้