นาย จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน กล่าวในรายการ ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "หนัก?" เมื่อ 18 ก.ย. 2566 โดยประเมินโครงการแจกเงินดิจิทัลหมื่นบาทรวม 5.6 แสนล้านบาทว่า จะมาเร็วขึ้น คาดจะเริ่มในเดือนพฤศจิกายนนี้ เนื่องจากรัฐบาลประกาศร่นเวลามาต่อเนื่องจากปี 2567 ในเดือนเมษายน ถอยลงเป็นกุมภาพันธ์ พร้อมส่อเค้าถึงการเปลี่ยนพื้นที่ใช้จ่ายจากรัศมี 4 กิโลเมตร เป็นทั้งอำเภอตามภูมิลำเนาในบัตรประชาชนของผู้ใช้จ่าย
โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 5.6 แสนล้านบาท พรรคเพื่อไทยจะแจกให้ประชาชนตั้งแต่อายุ 16 ปีขึ้นไป โดยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เน้นเป็นสัญญาช่วงการหาเสียงที่ผ่านมา อ้างมุ่งหวังกระตุุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว โดยกำหนดเงื่อนไขให้ใช้จ่ายได้ในรัศมีพื้นที่ 4 กิโลเมตรตามภูมิลำเนาในบัตรประชาชน
นายจตุพร เชื่อว่า ถ้าโครงการนี้ให้ซื้อขายได้เฉพาะผลผลิตสินค้าท้องถิ่นหรือชุมชนจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชาวบ้านรากหญ้าได้ชัดเจนกว่า เศรษฐกิจจะเกิดสะพัดหมุนเวียนในชุมชน แต่นโยบายของรัฐบาลกลับมีแนวโน้มให้ใช้จ่ายซื้อสินค้าทั่วไป ดังนั้น ย่อมไปกระตุ้นให้เฉพาะผู้ผลิตสินค้าที่เป็นกลุ่มทุนใหญ่เร่งทำการผลิตส่งมาขายชาวบ้าน ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน แล้วชีวิตคนจนก็อยู่แบบเดิมๆ อีก
อีกทั้ง กล่าวว่า รูปแบบโครงการแจกเงินครั้งนี้ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยหมายมั่นปั้นมือให้เป็นการเริ่มใช้จ่ายเงินดิจิทัลแทนเงินสด ซึ่งมีกระบวนการแปรรูปผ่านการแลกเปลี่ยนไม่แตกต่างจากการถือครองเงินคูปองไปแลกซื้อสินค้า ดังนั้น กระบวนการตั้งต้นของโครงการนี้จึงมีทั้งส่วนที่เป็นดิจิทัลและอนาล็อกผสมส่วนในตลาดสินค้าทุนการผลิตทั่วไป
นายจตุพร กล่าวว่า ในกระบวนการอนาล็อกแล้ว ต้นทางของเงินทั้งโครงการจำนวน 5.6 แสนล้านบาทคาดที่มาในรูปแบบรัฐทำสัญญาหรือตั๋วสัญญาจะซื้อสินค้าจากบริษัทกลุ่มทุนการผลิตรายใหญ่ ซึ่งจะมีกี่บริษัทก็ตาม แต่ปกติการผลิตสินค้าแล้วมีต้นทุนประมาณ 35% ของมูลค่าการผลิตตามสัญญา หรือรวม 5.6 แสนล้านบาทของมูลค่าโครงการนี้
พร้อมทั้งประเมินรูปแบบที่มาของเงินในโครงการว่า เมื่อกลุ่มทุนใหญ่ผู้ผลิตสินค้าได้สัญญาจะซื้อสินค้าล่วงหน้าจากรัฐด้วยมูลค่าแตกต่างกันไปตามจำนวนบริษัทกี่รายก็ตาม (แต่ทั้งหมดรวมอยู่กรอบโครงการ 5.6 แสนล้านบาท) บริษัทก็นำสัญญาไปขอกู้เงินจากธนาคาร (หรือธนาคารของรัฐ) มาทำการผลิตสินค้าส่งป้อนตลาด
พร้อมระบุว่า ปกติแล้วธนาคารจะอนุมัติเงินให้มากถึง 70% ของในสัญญาจากรัฐหรือรวมมูลค่า 5.6 แสนล้านบาท ดังนั้น กลุ่มทุนการผลิตจะกู้ธนาคารเท่าใดตามกรอบทุนตั้งต้นการผลิตประมาณ 35% หรือตามการอนุมมัติของธนาคาร 70% ย่อมทำได้ตามขนาดธุรกิจการผลิตสินค้าที่รัฐให้สัญญาจะซื้อไว้
"เมื่อที่มาของเงินเป็นรูปแบบนี้ แสดงว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจของประชาชนเลย แต่เป็นการกระตุ้นกลุ่มทุนการผลิตรายใหญ่ที่มีเงินกองเป็นแสนล้านทั้งนั้น ดังนั้น ในด้านผลประโยชน์ต่างตอบแทนแล้ว จึงเชื่อว่าโครงการนี้จะมาเร็วขึ้น คาดช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้จะเห็นแนวโน้มที่เป็นจริงแล้ว เพราะเรื่องนี้พวกเขา (เพื่อไทย) คิดไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว แต่บอกไม่ได้กล้วถูกธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันทางเศรษฐกิจอื่นๆ รุมยำเอา"
นอกจากนี้ นายจตุพร ยังประเมินว่า เค้าลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเริ่มปรากฎขึ้น โดยมีร่องรอยตั้งแต่รัฐบาลประกาศร่นเวลาโครงการเงินดิจิทัลจากเมษายน 2567 มาเป็นกุมภาพันธ์ 2567 อย่างไรก็ตาม คาดว่าโครงการจะเกิดเร็วขึ้นไปอีก ซึ่งมีแววส่อว่า จะเริ่มในช่วงพฤศจิกายนนี้
อีกทั้งกล่าวว่า รัฐบาลยังจ้องปรับเปลี่ยนพื้นที่การใช้จ่ายจากรัศมี 4 กิโลเมตร ขยายเป็นทั้งอำเภอตามภูมิลำเนาในบัตรประชาชนของผู้ใช้ รวมทั้งสถานการณ์ทางด้านสภานิติบัญญัติเกิดรอยปริแยกทำให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา ซี่งมีปัญหาสุขภาพรุมเร้าอยู่ มีโอกาสจะสละตำแหน่ง สิ่งเหล่านี้ย่อมแสดงถึงอาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะเกิดขึ้นได้เร็วอย่างไม่คาดคิดกันก็ย่อมเป็นไปได้
“เค้าลางเช่นนี้ ล้วนบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงจะมาเร็วขึ้น รัฐบาลจึงหวั่นไหวถึงอนาคตของตัวเองว่า จะอยู่ได้นานแค่ไหน จึงต้องเร่งโครงการ 5.6 แสนล้านบาทให้เป็นงบผูกพันในการซื้อสินค้าจากกลุ่มทุนส่งไปให้ชาวบ้านได้ซื้อในวงเงินหนึ่งหมื่นดิจิทัลต่อคนให้เร็วขึ้น เพื่อผ่องถ่ายผลประโยชน์ได้แบ่งจ่ายไปให้ทุนใหญ่กินรวบ”
นายจตุพร กล่าวว่า ในทางการเมืองขณะนี้ดูเหมือนไม่มีอะไร ดูเหมือนนิ่งๆ แต่ในความนิ่งกลับมีความอึกทึก เพราะความสัมพันธ์สลับซับซ้อนทางอำนาจที่ลึกลงไปแล้ว แต่ละกลุ่มกลับรอโอกาสการเปลี่ยนแปลงเอาไว้ สิ่งนี้จึงเป็นตัวเร่งให้โครงการดิจิทัลจะเกิดเร็วขึ้น ดังนั้น ประชาชนต้องไม่ชะล่าใจในความเงียบสงัดที่ซ่อนเสียงเอาไว้
ขอบคุณ:รายการประเทศไทยต้องมาก่อน