Benedict           

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือ เพนตากอน เปิดเผยเมื่อต้นเดือนนี้ ว่าจะทำการจัดส่งกระสุนยูเรเนียมด้อยประสิทธิภาพ สำหรับใช้ต่อต้านรถถังให้กับยูเครน เป็นส่วนหนึ่งในแผนความช่วยเหลือทางทหารแก่มูลค่า 175 ล้านดอลลาร์

นับเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ จะส่งกระสุนยูเรเนียมด้อยประสิทธิภาพไปยังยูเครน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ อังกฤษเคยประกาศจัดส่งอาวุธชนิดนี้ให้กับยูเครนมาแล้วเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา

สำหรับกระสุนชนิดดังกล่าวขนาด 120 มม. จะนำไปใช้เป็นอาวุธให้กับรถถัง M1A1 Abrams ที่สหรัฐฯ มีแผนจะจัดส่งให้ยูเครนปลายปีนี้ โดยถือเป็นกระสุนที่มีประสิทธิภาพในการเจาะเกราะสูง และมีความหนาแน่นสูงกว่ากระสุนชนิดตะกั่วราว 1.7 เท่า

แต่ความชอบธรรมในการใช้กระสุนยูเรเนียมด้อยประสิทธิภาพยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ เนื่องจากเป็นผลพลอยได้จากยูเรเนียม ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ แม้ส่วนที่นำมาทำกระสุนจะเป็นส่วนที่เหลือจากการสกัดยูเรเนียมธรรมชาติ แต่ก็ยังคงคุณสมบัติของกัมมันตรังสีไว้ส่วนหนึ่ง 

นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากแสดงความกังวลถึงสารเคมีที่เป็นพิษที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้ที่สัมผัสได้

โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติออกรายงานการวิจัยเมื่อปีที่แล้วในหัวข้อ "ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของสงครามในยูเครน" เตือนว่า สารพิษในกระสุนยูเรเนียมด้อยประสิทธิภาพอาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง ทำให้เกิดไตวาย และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง ความเป็นพิษทางเคมีของกระสุนยูเรเนียมด้อยประสิทธิภาพเป็นปัญหาร้ายแรงมากกว่าผลกระทบของกัมมันตภาพรังสี

ตั้งแต่สงครามอ่าวในปี 1991  จนถึงการรุกรานอิรักในปี 2003 สหรัฐฯ ได้เพิ่มความรุนแรงในการใช้อาวุธสังหารนี้ในทางที่ผิด ระเบิดยูเรเนียมด้อยประสิทธิภาพจำนวนมากที่ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เหล่านี้ แต่ยังทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิด มะเร็งเม็ดเลือดขาว และโรคอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ในครั้งนี้ รัสเซียก็ได้ออกมาประณามการกระทำของสหรัฐฯ โดยออกแถลงการณ์ผ่านทางสถานทูต ณ กรุงวอชิงตัน ระบุว่า การตัดสินใจส่งอาวุธที่มีส่วนประกอบของยูเรเนียมด้อยประสิทธิภาพ เป็นตัวบ่งชี้ถึงความไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์

แถลงการณ์ยังโจมตีสหรัฐฯ ว่าจงใจส่งอาวุธที่โจมตีแบบไม่เลือกเป้า โดยรู้ถึงผลลัพธ์อยู่แล้ว การระเบิดของกระสุนชนิดนี้ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนตัวของก้อนเมฆกัมมันตภาพรังสี ซึ่งอนุภาคเล็กๆ ของยูเรเนียมจะเข้าไปในทางเดินหายใจ ปอด หลอดอาหาร และไปสะสมในตับและไต ทำให้เกิดมะเร็งและนำไปสู่การหยุดทำงานของร่างกาย