นายกฯ ระบุเป็นคณิตศาสตร์พื้นฐาน เพื่อไทยจำเป็นตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ไม่รับปากแก้รธน.1-2 ปี เสร็จ แต่ต้องทำเรื่องเร่งด่วน ประกาศชน"ทุจริต-รับสินบน" ลั่น"ยาเสพติด-ซื้อขายตำแหน่ง" ต้องเหลือน้อยที่สุด ยันนอนทำเนียบฯ พร้อมเปิดบ้านพิษณุโลกให้คณะที่ปรึกษาทำงาน ขณะที่วุฒิสภามีมติ อุ้ม"ส.ว.กิตติศักดิ์" ปมพิพาทวัดบางคลาน ชี้ไม่ผิดจริยธรรม ลงโทษแค่ว่ากล่าวตักเตือน
ที่ไทยรัฐ เมื่อวันที่ 18 ก.ย.66 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวเสวนาในหัวข้อ "Future Perfect เปิดมุมคิด พลิกอนาคต" ในงานเสวนา Thairath Forum 2023 จัดโดย ไทยรัฐ กรุ๊ป ตอนหนึ่ง ว่า ตั้งแต่เข้าทำเนียบรัฐบาลไปนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีประมาณ 10 วินาที เพราะซินแสสั่งให้นั่งเวลาไหนเท่านั้นเอง ตนก็ลุกออกมาแล้ว แล้วก็ไม่เคยนั่งเลย ใช้เป็นห้องทางผ่านเวลาไปเข้าห้องน้ำอย่างเดียว ไม่ได้นั่งที่ทำเนียบฯเลย แล้วก็เดินไปตามโต๊ะต่างๆ ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงระบบที่ตั้งเป็นโต๊ะๆ ให้ inclusive ให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น เพื่อรับฟังปัญหาจากทุกภาคส่วนและประสานงานทุกภาคส่วน การมีห้องกั้นไม่เป็นมิตรภาพมากเท่าไร ตนอยากให้เป็นรัฐบาลที่เข้าถึงง่าย และมีคณะทำงาน คิดว่าจะไปใช้บ้านพิษณุโลก เป็นห้อง ไม่อยากใช้คำว่าเป็นกองบัญชาการ อยากคณะที่ปรึกษาไปทำงานกัน ลดขั้นตอนการทำงาน
ผู้ดำเนินรายการ ถามว่า จะนอนทำเนียบจริงหรือ นายเศรษฐา กล่าวว่า จริง เพราะบ้านมีเนื้อที่ 197 ตารางวาเอง แล้วมันเล็กมาก แล้วต้องมีตำรวจ เพื่อนบ้านเดือดร้อน และใช้เวลาเดินทางเยอะ ไม่อยากเป็นภาระกับตำรวจ กับหน่วยรักษาความปลอดภัยด้วยเหมือนกัน คนที่เป็นภาระก็เป็นฝ่ายเลขาฯ ที่ต้องมา ตนเป็นคนง่ายๆ
การบริหารงานด้านเศรษฐกิจที่มุ่งมั่นขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลดรายจ่าย และการอัดฉีดเงินเข้าสู่กระเป๋าประชาชนโดยเร็ว ด้วยแผนดิจิทัลวอลเล็ต หรือกระเป๋าเงินดิจิทัล ที่วางแผนว่าถ้าเป็นไปได้จะเริ่มในเดือนก.พ.67 นอกจากนี้ยังเตรียมดึงเงินจากต่างชาติ ทั้งจากเงินลงทุนระยะยาว และการท่องเที่ยว โดยในคืนนี้จะเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมประชุม ประชุม UN General Assembly (UNGA) และจะมีการนัดพบผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกด้วย ส่วนการขึ้นค่าแรงที่เป็นการเพิ่มรายได้ให้ประชาชน ที่คาดว่าภายในเดือนพ.ย.นี้จะประกาศได้ว่าจะขึ้นเท่าไร
นายเศรษฐา ยังได้กล่าวถึงประเด็นการเมืองและเรื่องการเทหมดหน้าตักที่ต้องจับมือกับขั้วรัฐบาลเดิม โดยกล่าวย้ำว่า อันนี้เรื่องคณิตศาสตร์พื้นฐาน เพื่อให้ได้เสียง 376 เพื่อจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ที่ผ่านมา เราทำตามสัญญา ร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล แต่ก็ไม่ผ่าน สว. แล้วพรรคก้าวไกลก็ส่งมอบให้พรรคเพื่อไทยไปจัดตั้งรัฐบาล ก็ต้องไปคิดว่า ไปจับกับใครได้ไหม จะรอ 9-10 เดือน แล้วมาตั้งรัฐบาล ประชาชนก็จะคอยไม่ได้ ทั้งเรื่องค่าน้ำ-ค่าไฟ อย่างที่บอก เป็นเรื่องคณิตศาสตร์พื้นฐาน พรรคเพื่อไทยเรามีเสียง 10 ล้านคะแนน เลือกมาเพื่อให้เป็นรัฐบาล แล้วเราประสานกับพรรคอื่นได้ ทั้งนี้ ไม่ได้ขอความเห็นใจ แต่มันเป็นเรื่องพื้นฐานจริงๆ
ยืนยันจุดยืนส่วนตัว ไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารอยู่แล้ว ถึงวันนี้ก็ไม่เห็นด้วย พรรคการเมืองอย่าง รองนายกฯ อนุทิน แม้เป็นพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลกับขั้วเก่า แต่ท่านก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐประหาร หลายท่านอาจผิดหวัง เรียก "นายกฯ ส้มหล่น-นายกฯ ตระบัดสัตย์" ก็ว่ากันไป สิ่งที่จะตอบพี่น้องประชาชนได้ดีที่สุดคือ เรื่องผลงาน พยายามแก้ไขความเดือดร้อนประชาชน เมื่อถามว่า กลัวความฝันคนหนุ่มสาว อยู่กับความเป็นจริงตลอดหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ความหวัง ความฝัน เป็นหน้าที่ของผู้นำอย่างผมที่ต้องแบกไว้ และทำให้ประชาชนได้เห็น ถ้าเขาไม่มีความหวัง ไม่มีแรงบันดาลใจ ในอีก 4 ปี ก็ไปใช้สิทธิ์
สำหรับเรื่องแก้รัฐธรรมนูญตรงนี้ หารือในการประชุม ครม.ครั้งแรกแล้ว ตั้งคณะกรรมการเข้ามาเพื่อทำประชามติก่อน ซึ่งทำงานร่วมรัฐสภา เป็นการกำหนดว่า ขั้นตอนอย่างไรบ้าง มีการทำประชามติและตั้ง ส.ส.ร. ตนไม่อยากพูดไป เรื่องประชามติ เรื่องสำคัญ ไม่ทราบจริงว่า 1-2 ปีครึ่ง แก้รัฐธรรมนูญจะเสร็จ แต่ยังไงก็ต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน ต้องดำเนินการ ตนว่าเรื่องนี้ตนเทหมดหน้าตักเหมือนกัน ตนไม่มีอะไรในกระเป๋าแล้ว เริ่มชัดเมื่อไร ขีดเส้นไทม์ไลน์ออกมา
ส่วนกรณีการซื้อขายตำแหน่งตำรวจ คือไม่ใช่แค่ตำรวจอย่างเดียว ตนประชุมครม.กับรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยครั้งแรก การที่เราไม่ให้เกียรติข้าราชการ ข้าราชการทำงานมานาน ถ้าผลงานดีต้องให้เกียรติเขา ตนดูแลกระทรวงการคลัง ตนก็เน้นเรื่องนี้เรื่องเดียว ให้ความเป็นธรรม การโยกย้ายข้าราชการ ท่านปลัดกระทรวงการคลัง เสนอรายชื่ออะไรมา ตนก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับท่านเลย เพียงถามเท่านั้นเรื่องอาวุโส เพราะตนเองก็เพิ่งเข้ามาทำงาน
ยืนยัน ยาบ้าต้องหมดไป ซื้อขายตำแหน่งต้องหมดไป กำหนดกี่ปี เอาจริงต้องทำให้เหลือน้อยที่สุด จะให้หมดไปก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่จะทำให้เหลือน้อยที่สุด ยาเสพติดต้องไม่ใช่แค่เผาอย่างเดียว การยึดทรัพย์ก็เป็นปลายเหตุ แต่ก็ต้องยึดให้เร็ว เรื่องยาก คือ เรื่องทำงานกับกระทรวงสาธารณสุข ที่จะทำให้สถาบันครอบครัวแข็งแกร่ง นายเศรษฐา กล่าวและย้ำว่า นายกฯ ยืนยันสิ่งห้ามทำเด็ดขาด เรื่องทุจริต-รับสินบน สำคัญที่สุด โดยเฉพาะช่วงนี้ มีโยกย้ายตำแหน่ง มีเยอะเหลือเกิน มีคนส่งมาหาผม เรื่องที่ปรึกษา ผมให้ปรึกษา แต่ไม่ใช่เอาคนมาฝาก ยืนยัน จะให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการมากที่สุด"
นอกจากนี้ นายเศรษฐา ยังได้กล่าวถึงความฝัน ความหวัง และแรงบันดาลใจ ของประชาชนนั้น ถือเป็นหน้าที่ของผู้นำ ในฐานะผู้นำรัฐบาล 4 ปีนี้ จะทำให้เกิดขึ้น และแน่นอนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่แน่นอนคือเรื่องการทำประชามติ
ผู้ดำเนินรายการถามถึงอนาคต เมื่อภารกิจนายกฯ สิ้นสุดลง อยากให้คนเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับนายกฯ อย่างไรบ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า "ผมไม่อยากเขียนเรื่องราว ของตัวเอง ผมอยากให้ประชาชนเขียนเรื่องราวของผม อยากให้ทุกคนเขียนว่ามีชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างไร ความเหลื่อมล้ำลดลง สังคมดีขึ้นอย่างไร"
ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงนโยบายการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล ที่ฝ่ายค้านมองว่าการตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการจัดทำประชามติเป็นการซื้อเวลาออกไปว่า ก็ต้องร่วมกันดำเนินการ เพราะเป็นเจตนารมย์ร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาลที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยสูงสุด
นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษานายกฯ กล่าวในรายการข่าว 3 มิติ เปิดความจริงที่ไม่เคยพูดกว่า 15 ปี โดยกล่าวย้ำว่า การได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ไม่ใช่เป็นการปลอบใจหลังพลาดโอกาสนั่งรัฐมนตรีในรัฐบาลเศรษฐา 1 พร้อมยืนยันว่าการตรวจสอบคุณสมบัตินั้นตนไม่ได้ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี แต่เหตุที่ถอนตัวเนื่องจากให้รัฐบาลได้เดินหน้าทำงานให้เร็วที่สุด ส่วนตัวต้องการใช้ความสามารถในการทำงานในการ ช่วยเหลือรัฐบาลและประเทศชาติ
"การมากล่าวหาผม ถือว่ามากล่าวหาทางการเมือง ผมเลยไม่โกรธเมื่อเราจะเข้าสู่การเมืองเราต้องพร้อมรับ ผมขอโอกาสทำงานและขอเอาผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ แล้วกระบวนการคนไกลตรวจสอบมีเมื่อตนเองทำงานแล้วหากประพฤติผิดต่อตำแหน่งหน้าที่อย่างไร อยากให้พิสูจน์ตรงนั้นมากกว่า"
นายพิชิต ยังกล่าวขอความเป็นธรรมหลังจากนี้ที่จะเข้ามาทำงานการเมือง พร้อมเปิดเผยความจริงในรอบ 15 ปีนับตั้งแต่มีคดีการละเมิดอำนาจศาล เมื่อปี 2551 ขอยืนยันว่าไม่ใช่ "ทนายถุงขนม" เนื่องจากไม่มีเหตุจูงใจในการ นำเงินไปติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาลซึ่งในคำสั่งศาลฎีกาก็ระบุว่าเป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ตนเองหรือทีมทนายความของตนเองจึงไม่มีเหตุให้กระทำการตามที่กล่าวหา
"เรื่องเงินจำนวน 2 ล้านบาท ที่ไปปรากฏอยู่ที่ศาล ยืนยันต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราช ผมไม่รู้เรื่องนี้ ซึ่งหากรู้เรื่องนี้จะค้านหัวชนฝา รวมทั้งแรงจูงใจว่าจะทำไปเพื่ออะไร ซึ่งในวันนั้น ผมคุยแนวทางการต่อสู้กับลูกความ และไม่ได้ออกไปอยู่ข้างนอก ซึ่งเรื่องนี้ผมมาทราบเรื่องในภายหลัง คำสั่งที่ออกมาทั้งพนักงานสอบสวนก็มีคำสั่งไม่ฟ้อง อัยการได้ตรวจสำนวน ก็มีคำสั่งเด็ดขาดว่าไม่มีความผิดฐานให้สินบน"
นายพิชิต ยังระบุต่อว่า ไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการอุทธรณ์ เนื่องจากเหตุเกิดขึ้นที่ศาลฎีกาจึงไม่ได้มีโอกาสได้พิสูจน์ข้อเท็จจริง ซึ่งเหตุทั้งหมดเกิดในศาลฎีกาถือเป็นข้อยุติแล้ว จึงขอความเป็นธรรมให้ตนและขอความเป็นธรรมที่หลังจากนี้จะเดินหน้าในการนำความรู้ความสามารถในทางกฎหมายมาใช้ประโยชน์เพื่อประเทศชาติ ส่วนในอนาคตหากจะได้เป็นรัฐมนตรีหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ใหญ่
ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณารายงานผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียนจริยธรรม นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ส.ว.ของคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ที่มี พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง เป็นประธานกรรมการ ได้พิจารณาแล้วเสร็จ ทั้งนี้การพิจารณาของที่ประชุมวุฒิสภานั้นเป็นการประชุมลับและลงมติลับ
ภายหลังการพิจารณาลับเสร็จสิ้น นายพรเพชร ให้ส.ว.ที่ร่วมประชุม ซึ่งแสดงตนรวม 163 คน ลงมติว่าจะเห็นด้วยกับรายงานของกรรมการจริยธรรมที่ลงโทษด้วยการว่ากล่าวตักเตือนนายกิตติศักดิ์ เพราะการปฏิบัติหน้าที่ที่ทำให้บุคคลเคลือบแคลงในการทำหน้าที่ หรือใส่ร้าย เสียดสีบุคคลอื่น และนำข้อความอันเป็นเท็จอภิปรายต่อที่ประชุม ซึ่งถือว่าขัดข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ พ.ศ.2563 ข้อ 31 และข้อ 36 วรรคหนึ่ง
จากนั้น ในเวลา 12.52 น.นายพรเพชรได้แจ้งผลการลงมติว่า มีเสียงเห็นชอบกับรายงานกรรมการฯ 93 เสียง ไม่เห็นชอบ 33 เสียง และไม่ออกเสียง 37 คน จึงถือว่านายกิตติศักดิ์ไม่ได้ทำการใดตามที่ถูกร้องเรียนจริยธรรม เพราะคะแนนเสียงเห็นชอบนั้นมีไม่ถึงกึ่งหนึ่งของ ส.ว.124 เสียง