ผบ.ตร.เซ็นคำสั่งโอนคดีที่เกี่ยวข้องยิง สารวัตรแบงค์ เสียชีวิต ให้ตำรวจสอบสวนกลางดูแล จ่อแจ้งข้อหา 14 ตำรวจละเว้นปฏิบัติหน้าที่-ให้การเท็จ" พร้อมเรียกสอบเพิ่ม ด้าน วิชาแนะปฏิรูปตำรวจต้องลดขนาดองค์กรเล็กลง จัดการระบบอุปถัมภ์เด็ดขาด 

     จากกรณี พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรแบงค์ สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. ถูก นายธนัญชัย หมั่นมาก หรือ  หน่อง ท่าผา ลูกน้องคนสนิทของ นายประวีณ จันทร์คล้าย  หรือกำนันนก ผู้มีอิทธิพลในจ.นครปฐม และเป็นกำนันตำบลตาก้อง อ.เมือง จ.นครปฐม ยิงเสียชีวิตกลางงานเลี้ยงภายในบริเวณบริษัทกำนันนก โดยเหตุเกิดเวลาประมาณ 22.00 น. ของวันที่ 6 ก.ย. 66 ที่ผ่านมา 
   
  ต่อมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล  รอง ผบ.ตร.  ได้มีการเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดภายในบ้านกำนันนก พบคำให้การของพยาน นายตำรวจ ในที่เกิดเหตุ ไม่ตรงกัน จึงได้เรียกสอบปากคำใหม่ทั้งหมด รวมถึงมีการจับกุมผู้ต้องหาในคดีเพิ่มเติมทั้งพลเรือนและตำรวจ โดยมั่นใจในหลักฐานที่มีอยู่เพียงพอที่จะเอาผิดดำเนินคดีกำนันนกฐานเป็นผู้บงการได้นั้น  
    
 ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ก.ย.66 มีรายงานความคืบหน้าคดีนี้ว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์  ผบ.ตร. ได้ลงนามคำสั่งให้โอนสำนวนการสอบสวน คดีที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ไปที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางทั้งหมด  เนื่องจากเป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับคดียิงสารวัตรแบงค์

     สำหรับการเรียกสอบพยาน ในคดีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และคดีฮั้วประมูล ของบริษัทกำนันนกนั้น จะยังคงสอบปากคำ ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เพราะเป็นสถานที่เกิดเหตุ และเพื่อความสะดวกของพยาน ในการเดินทางมาสอบปากคำ

     มีรายงานเพิ่มเติมว่า พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. จะเรียกประชุมคณะทำงานชุดคลี่คลายคดีอีกครั้งที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในวันที่ 18 ก.ย. เวลา 14.00 น.
 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ชุดคลี่คลายคดียิงสารแบงค์เสียชีวิต ทยอยเข้ามาที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 พร้อมกับนำเอกสารสำนวนคดีแฟ้มใหญ่ หลายแฟ้มเข้ามาด้วย เนื่องจากวันนี้พนักงานสอบสวนเตรียมจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลที่มีความผิดเพิ่มเติม  โดยเฉพาะตำรวจที่อยู่ในงาน หลังจากที่ชุดคลี่คลายคดี ได้ประชุมจากพยานหลักฐานกล้องวงจรปิด และสอบปากคำเพิ่มเติมเสร็จแล้ว โดยตำรวจทั้ง 14 นาย จะเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ภายในวันนี้ทั้งหมด
    
 ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหาตอนนี้จะเป็นอำนาจหน้าที่ของตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่ง พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม นำโดย พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ เป็นหัวหน้าชุดในการดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาในครั้งนี้
 สำหรับตำรวจที่จะถูกเรียกมาสอบปากคำและดำเนินคดี 14 นาย ได้แก่ พ.ต.อ.ภาณุทัต เหลืองสัจจกุล ผกก.สส.ภ.จว.นครปฐม ,พ.ต.อ.กฤษฎาพร จงอักษร ผกก.สน.พญาไท ,จ.ส.ต.พิสิฐ ชิวปรีชา ผบ.หมู่ ส.ทล. กก.2 ,ร.ต.อ.นุชิต บรรณชัย รอง สว.ปทส.5 ,จ.ส.ต.อภิรักษ์ โรจน์พวง ผบ.หมู่กก.5 ปคม. ,ส.ต.ท.สุทธิกานต์ แซ่ล้อ ผบ.หมู่คฝ.ภ.จว.นครปฐม ,ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น ผบ.หมู่ คฝ.ภ.จว.นครปฐม ,ร.ต.อ.ประสมมาศ แสงสุขมี รอง สว.จร.สภ.กำแพงแสง ,ด.ต.ถนอม ศักดิ์มีศรี ผบ.หมู่ สภ.สามความเผือก ,ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล ผบ.หมู่คฝ.ภ.จว.นครปฐม ,ด.ต.สมโชค บัวไชย บก.สส ภาค 7 ,ร.ต.อ.จตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา รองสารวัตรปราบปราม สภ.เมืองนครปฐม ,ร.ต.ท.มนัส จันทร์มีทรัพย์ (น้าไก่) รอง สว.จร.สภ.นครชัยศรี และร.ต.อ.ศิริชัย รูปสวย บก.ป.
   
  ส่วนตำรวจที่ ไม่ถูกดำเนินคดี 7 นาย ประกอบด้วย ด.ต.ชนาณัฐ วุฒิยากร ผบ.หมู่ บก.ทล. ,ด.ต.สราวุฒิ เชียงทอง สทล.1 กก.2 ,จ.ส.ต.เมทิศกร พันศ์สีจันทร์ ผบ.หมู่ ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. ,พ.ต.ต.ณรงค์ พิทักษ์ฉนวน สว.ฝอ.กก. 2 บก.ทล. ,จ.ส.ต.ทศพร แซ่อึ้ง ผบ.หมู่ บก.ทล. ,พ.ต.ท.ภทร วรญาวิสุทธิ์ สว.สภ.สระยายโสม จว.สุพรรณบุรี และพ.ต.ทวศิน พันปี รอง ผกก.2 บก.ทล. (ผู้บาดเจ็บ)
   
  วันเดียวกัน ที่ห้อง Meeting A ชั้น 7 ที่ทำการชั่วคราวสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย อาคารบางซื่อจังชั่น (ตึกแดง) สมาคมนักข่าวฯจัดกิจกรรมราชดำเนินเสวนา ครั้งที่ 2/2566 หัวข้อ "ปฏิรูปตำรวจ" กู้วิกฤตศรัทธาหรือดิ่งเหว?" โดยมีคณะวิทยากรผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น(ประเทศไทย)
   
  ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา กล่าวว่า การปฎิรูปตำรวจมีการพูดกันมานานแล้ว ซึ่งงานของตำรวจต้องใกล้ชิดประชาชนเพื่อความอุ่นใจ ความปลอดภัย และสันติสุข แต่องค์กรตำรวจมีเจ้าหน้าที่จำนวนมาก 2-3 แสนคน และเป็นองค์กรรวมศูนย์ที่ส่วนกลาง ซึ่งผู้บังคับบัญชาตำรวจแห่งชาติดูแลแต่จะสามารถควบคุมเจ้าหน้าที่ 2-3 แสนคน ไหวหรือไม่ นอกจากนี้ตำรวจยังเป็นองค์กรแห่งอำนาจตั้งแต่จับกุม ควบคุมตัว ทำให้คนสิ้นอิสรภาพ หรือทำให้คนหลุดจากถูกลงโทษที่ชี้เป็นชี้ตายได้ รวมถึงยังมีระบบอุปถัมภ์ในองค์กรที่ยั่งยืนสืบทอดกันมา ทำให้มีการพูดถึงการซื้อขายตำแหน่ง การมีส่วย หรือมีการครอบงำโดยกระบวนการภายนอกซึ่งเป็นผลประโยชน์มากมายมหาศาล ซึ่งไม่ใช่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียว แต่มีการค้ำชูซึ่งกันและกันในระบบอุปถัมภ์
    
 "สมัยผมเป็น ป.ป.ช.ครั้งแรกเจอคดีส่วยยาเสพติด เป็นการจับครั้งใหญ่มากมีการรื้อกันว่ามีใครบ้างในสมุดเล่มนั้นปรากฏว่า ในที่สมุดหายไปไม่รู้ว่าใครรับส่วยบ้าง แต่ผมรู้ว่ามีอยู่ และสุดท้ายก็จับได้แต่ตัวจิ๊บจ๊อย ไม่ถึงตัวข้างบน ก็ทำให้รู้ว่ามีอำนาจซ้อนรัฐ" ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา กล่าว
   
  ส่วนการปฏิรูปองค์กรตำรวจจะแก้ที่จุดใดนั้น ต้องลดองค์กรให้เล็กลง ไม่ใช่การรวมศูนย์อำนาจแบบนี้ เช่น เนเธอเร์แลนด์ แยกระหว่างตำรวจนครบาลและตำรวจภูธร ซึ่งอาจจำเป็นสำหรับเมืองใหญ่เพื่อการบริหาร โดยตำรวจภูธรให้แยกไปเลยอย่างเช่น ญี่ปุ่นมีของการแต่งตั้งด้วยตัวเองแต่ละจังหวัด และมีตำรวจชุมชนที่เรียกว่า "โคบัง" ที่ทำหน้าที่เป็นตำรวจของประชาชนไม่ใช่ตำรวจของ "นาย" จึงต้องสลายองค์กรอำนาจและมาร่วมมือกับชุมชน ที่สำคัญการฝึกอบรมต่างๆ ทำเพื่อสถาปนาอำนาจและคอนเนคชั่นเท่านั้น จนกลายเป็นการครอบงำจากวัฒนธรรมขององค์กรตำรวจด้วยกันเอง
    
 ด้าน ดร.มานะ กล่าวว่า เรื่องส่วยที่เกิดขึ้นนั้นมีการร้องเรียนจากประชาชน หรือจากสมาคมการค้าทั้งไทยและต่างชาติว่ามีการเรียกเก็บส่วยเช่น ส่วยรถบรรทุกมีการชี้เป้าที่ส่วยสติ๊กเกอร์ที่มีเงินหมุนเวียนประมาณหมื่นล้านบาท โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐ คนในกระบวยการยุติธรรม หรือเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้อนถิ่นเข้าไปเกี่ยวข้อง ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ขณะเดียวกันอุปสรรคของระบบไอทีหน่วยงานหลีกเบี่ยงจะป้อนข้อมูลหรือทำข้อมูลที่นำไปใช้งานได้อย่างเช่นเป็นไฟล์ JPEG จึงต้องทำอย่างไรให้หน่วยงานรัฐจริงใจในการเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้
   
  "กรณีกำนันนกประชาชนเห็นชัดเจน เป็นการทำลายเกียรติภูมิของเครื่องแบบถ้าเรื่องนี้จะไปเป็นไฟไหม้ฟาง ถ้าจะต้องปฏิรูปต้องเลือกมุมมิบในสภาฯ ต้องบอกว่าถ้าจะปฏิรูปตำรวจ ประชาชนจะได้อะไร และตำรวจต้องไม่ตบทรัพย์ ต้องไม่ขอค่าดำเนินคดีกับประชาชน ต้องไม่ให้ประชาชนไปขอหลักฐานจากกล้องวงจรปิดเสียเอง หรือเรื่องตั๋วช้างจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างไร ก็ขอให้ ผบ.ตร.คนใหม่จะทำให้ประชาชนจดจำแบบไหนเท่านั้น" ดร.มานะกล่าว